ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตหุ้นกู้ CBG ที่ระดับ "A-" แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday November 1, 2019 16:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ.คาราบาวกรุ๊ป (CBG) ที่ระดับ "A-" พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังภายในประเทศของบริษัทและฐานะทางการเงินที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการที่บริษัทต้องพึ่งพาสินค้าน้อยรายการ รวมถึงโอกาสการเติบโตที่ค่อนข้างจำกัดของตลาดเครื่องดื่มชูกำลังภายในประเทศ และความสำเร็จที่มีไม่มากในการขยายตลาดไปในสหราชอาณาจักรซึ่งอาจจะส่งผลกดดันต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทต่อไปอีกในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

สถานะที่แข็งแกร่งในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศไทย บริษัทมีส่วนแบ่งในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังภายในประเทศที่เติบโตขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มชูกำลังของบริษัทได้รับความนิยมมากที่สุดเป็นอันดับสองในประเทศไทย ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดที่ระดับ 23% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ซึ่งใกล้เคียงกับระดับในช่วงเดียวกันของปีก่อน สถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งดังกล่าวเป็นผลมาจากตราสัญลักษณ์ของบริษัทซึ่งเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี ตลอดจนกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ และเครือข่ายการกระจายสินค้าที่ครอบคลุมร้านค้าปลีกมากกว่า 180,000 แห่ง

ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลังภายในประเทศจำนวน 6.05 พันล้านบาทในปี 2561 และ 2.78 พันล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ซึ่งค่อนข้างคงที่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทริสเรทติ้งมองว่าตลาดเครื่องดื่มชูกำลังภายในประเทศมีแนวโน้มการเติบโตที่จำกัดเนื่องจากตลาดที่ค่อนข้างอิ่มตัวและข้อมูลในอดีตที่บ่งชี้ว่าการเจาะตลาดเข้าไปยังลูกค้ากลุ่มใหม่นั้นทำได้ค่อนข้างยาก ทั้งนี้ หลังจากที่ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังภายในประเทศหดตัวลงที่ระดับ 2%-3% ต่อปีในช่วงปี 2559-2560 แล้วก็เติบโตขึ้นเพียงเล็กน้อยที่ระดับประมาณ 0.6% ในปี 2561 และเติบโตในอัตราที่เร็วขึ้นที่ระดับ 5.5% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562

ภาษีสรรพสามิตและภาษีน้ำตาลซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่เดือนกันยายน 2560 เป็นที่คาดการณ์ว่าจะทำให้ต้นทุนภาษีที่เกี่ยวข้องทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2562-2566 โดยในช่วงที่ผ่านมาผู้ผลิตเครื่องดื่มชูกำลังไม่ได้มีการปรับขึ้นราคาสินค้าเพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาษีน้ำตาลแต่มีการปรับสูตรการผลิตสินค้าเพื่อไม่ให้ต้นทุนภาษีเพิ่มสูงขึ้นแทน ดังนั้น ผู้บริโภคจะตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอย่างไรนั้นจึงต้องติดตามความคืบหน้าต่อไป

การส่งออกมีการเติบโตที่ชะลอตัวลง ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการส่งออกของบริษัทจะยังคงเติบโตต่อไปด้วยอัตราที่ช้าลงเมื่อเทียบกับช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอันเนื่องมาจากฐานรายได้จากการส่งออกที่สูง บริษัทส่งออกสินค้าเครื่องดื่มชูกำลังไปยังหลายประเทศ เช่น กัมพูชา เมียนมา เวียดนาม และจีน รายได้จากการส่งออกเติบโตเฉลี่ยที่ระดับ 42% ต่อปีในระหว่างปี 2559-2561 จนกระทั่งรายได้จากการส่งออกขึ้นมาอยู่ที่จำนวน 6.48 พันล้านบาทในปี 2561 หลังจากนั้นการเติบโตก็ชะลอตัวลงในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 โดยการส่งออกเติบโตเพียง 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้รายได้จากการส่งออกอยู่ที่จำนวน 3.4 พันล้านบาท ทั้งนี้ รายได้จากการส่งออกคิดเป็นสัดส่วน 48% ของยอดขายรวมของบริษัทและรายได้จากตลาดส่งออกหลักคือประเทศกัมพูชาคิดเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้จากการส่งออกโดยรวมของบริษัท

ความสำเร็จที่จำกัดในตลาดสหราชอาณาจักร ทริสเรทติ้งคาดว่าค่าใช้จ่ายในการเป็นผู้สนับสนุนสโมสรฟุตบอลและค่าใช้จ่ายการตลาดเพื่อขยายตลาดในสหราชอาณาจักรจะกดดันความสามารถในการทำกำไรของบริษัทต่อไปอีกระยะหนึ่งจนกว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากการสร้างความรับรู้ในตราสินค้า บริษัทมียอดขายเครื่องดื่มชูกำลังในสหราชอาณาจักรที่ยังถือว่าค่อนข้างน้อยโดยคิดเป็นสัดส่วนที่น้อยกว่า 2% ของรายได้จากตลาดต่างประเทศในช่วงครึ่งแรกของปี 2562

นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการทำการตลาดและรายการส่งเสริมการขายในสหราชอาณาจักรก็ยังส่งผลทำให้ค่าใช้จ่ายในการทำการตลาดและการขายโดยรวมของบริษัทในปี 2560-2561 เพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ การเจาะเข้าไปยังตลาดดังกล่าวทำได้ยากกว่าที่บริษัทเคยคาดการณ์ไว้และเป็นสิ่งที่ลดทอนผลการดำเนินงานโดยรวมของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา

ที่ผ่านมาบริษัทมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงในการเป็นผู้สนับสนุนสโมสรฟุตบอลเชลซีและรายการแข่งขันฟุตบอล English Football League Cup ซึ่งเปลี่ยนชื่อมาเป็นรายการ Carabao Cup โดยเริ่มมาตั้งแต่ในช่วงที่บริษัทเริ่มเข้าไปเจาะตลาดในสหราชอาณาจักรในปี 2559 อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการเป็นผู้สนับสนุนฟุตบอลจะทยอยปรับตัวลดลงเป็นประมาณ 7.5 ล้านปอนด์ในปี 2564 จากประมาณ 12 ล้านปอนด์ในปี 2562 ซึ่งจะลดภาระทางการเงินในส่วนของกระแสเงินสดของบริษัทในอนาคต ทั้งนี้ การเป็นผู้สนับสนุนฟุตบอลดังกล่าวไม่เพียงแต่จะทำให้ตราสินค้าของบริษัทเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นในสหราชอาณาจักรเท่านั้น แต่ยังจะช่วยให้ตราสินค้าเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นในระดับโลกอีกด้วย

บริษัทมีการพึ่งพาสินค้าที่ไม่หลากหลาย ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีการพึ่งพาสินค้าประเภทเครื่องดื่มชูกำลังซึ่งเป็นสินค้าหมวดเล็กหมวดหนึ่งในตลาดเครื่องดื่มโดยรวม ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงในความนิยมบริโภครวมถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 รายได้ของบริษัทในสัดส่วน 87% มาจากสินค้าประเภทเครื่องดื่มชูกำลังซึ่งส่วนใหญ่มาจากเครื่องดื่มชูกำลังแบบดั้งเดิมซึ่งกลุ่มลูกค้าหลักคือคนทำงานที่มีรายได้ค่อนข้างต่ำ บริษัทมีความพยายามในการออกสินค้าเครื่องดื่มชูกำลังชนิดที่มีรสชาติแตกต่างออกไปเพื่อหวังเจาะฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ซึ่งความสำเร็จในระยะยาวของของผลิตภัณฑ์ใหม่ดังกล่าวนั้นยังต้องติดตามความคืบหน้าต่อไป

ความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่ปรับตัวดีขึ้นอันเป็นผลจากต้นทุนวัตถุดิบหลักที่ปรับตัวลดลง รวมถึงต้นทุนหีบห่อที่ลดลงจากโรงงานผลิตกระป๋องอลูมิเนียมของบริษัทซึ่งเริ่มดำเนินการผลิตมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2561 และการประหยัดจากขนาดจากการผลิตในจำนวนที่มากขึ้น ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 37% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 จาก 32.7% ในปี 2561 ทริสเรทติ้งคาดว่าในอนาคตบริษัทจะได้รับประโยชน์ในด้านต้นทุนจากการผลิตที่ครบวงจร โดยคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 35%-37% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

ระดับหนี้สินปรับตัวดีขึ้น บริษัทมีระดับหนี้สินที่ปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ซึ่งเป็นผลจากการมีค่าใช้จ่ายลงทุนที่ค่อนข้างน้อยและการมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่เติบโตขึ้นหลังจากที่ระดับหนี้สินของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นในระหว่างปี 2560-2561 จากการลงทุนจำนวนมากเพื่อขยายกำลังการผลิต อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 1.7 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 จาก 2.4 เท่าในปี 2561 และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 48% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 จากระดับ 31% ในปี 2561

ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากดำเนินงานอยู่ที่ระดับประมาณ 2.4-2.5 พันล้านบาทต่อปีและคาดว่าบริษัทจะมีการลงทุนที่ค่อนข้างน้อยลงโดยอยู่ที่ประมาณ 600 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2565 เนื่องจากบริษัทมีกำลังการผลิตที่เพียงพอรองรับการเติบโตในช่วงหลายปีข้างหน้า จึงทำให้ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะปรับตัวลดลงมาเป็น 1.1 เท่าจาก 1.4 เท่า และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 70% จาก 60% ในช่วงปี 2562-2565

ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทมีสภาพคล่องที่เพียงพอโดยแหล่งที่มาของสภาพคล่องประกอบไปด้วยเงินสดจำนวน 388 ล้านบาทและเงินทุนจากการดำเนินงานซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.4 พันล้านบาทต่อปี ซึ่งน่าจะเพียงพอสำหรับการจ่ายชำระหนี้เงินกู้ที่มีกับสถาบันการเงินและจ่ายชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในช่วง 12 เดือนข้างหน้ารวมทั้งสิ้นประมาณ 2 พันล้านบาท

หุ้นกู้ของบริษัทมีเงื่อนไขทางการเงินสำคัญที่ระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนที่ระดับไม่เกิน 2.5 เท่า ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.62 เท่า ณ เดือนมิถุนายน 2562 ซึ่งถือว่าบริษัทสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขทางการเงินดังกล่าวได้ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนดังกล่าวให้เป็นไปตามเงื่อนไขทางการเงินได้ต่อไปในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

รายได้ของบริษัทจะเติบโตที่ระดับประมาณ 4% ต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า

อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ระดับประมาณ 35%-37% และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย) จะอยู่ที่ระดับประมาณ 19%-21% ในช่วงปี 2562-2565

เงินลงทุนโดยรวมจะอยู่ที่ประมาณ 600 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2565

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังภายในประเทศและรักษาระดับการเติบโตที่สมเหตุสมผลในตลาดส่งออกได้

ทริสเรทติ้งยังคาดอีกด้วยว่าบริษัทจะมีความสามารถในการทำกำไรและผลการดำเนินงานที่ดีในขณะที่ยังคงรักษาสถานะทางการเงินให้อยู่ในที่ระดับที่ดีเอาไว้ได้

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอ่อนแอลงกว่าที่คาดเป็นเวลานาน หรือหากบริษัทดำเนินนโยบายทางการเงินที่เสี่ยงมากยิ่งขึ้น อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทมีผลการดำเนินงานและกระแสเงินสดที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก และ/หรือหากบริษัทมีแหล่งที่มาของรายได้ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นอย่างมีสาระสำคัญในขณะที่ยังคงรักษาสถานะทางการเงินที่ดีเอาไว้ได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ