PTTGC เผยกำไร Q3/62 ลดลง 79% จากงวดปีก่อน พร้อมมองปี 63 ราคาโอเลฟินส์ยังอ่อนตัวต่อเนื่อง

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday November 7, 2019 17:16 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เผยผลประกอบการไตรมาส 3/63 มีรายได้จากการขาย 105,154 ล้านบาท ปรับตัวลดลงเล็กน้อย 1% จากไตรมาส 2/62 และลดลง 23% จากไตรมาส 3/61 และมีกำไรสุทธิจำนวน 2,663 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.59บาท/หุ้น โดยกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้น 21% จากไตรมาส 2/62 แต่ลดลง 79% จากไตรมาส 3/61

ผลประกอบการในไตรมาสนี้ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากปริมาณการขายที่ปรับตัวสูงขึ้นตามอัตราการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจอะโรเมติกส์ที่เสร็จสิ้นการปิดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงอะโรเมติกส์หน่วยที่ 1 ในไตรมาสก่อนหน้าประกอบกับส่วนต่างของผลิตภัณฑ์โรงกลั่น ส่วนต่างของผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้ สำหรับผลการดำเนินงานใน 9 เดือนแรกของปี 62 บริษัทมีกำไรสุทธิรวม 11,308 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 69% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลจากการปรับตัวลดลงของราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจากผลกระทบของสงครามการค้าเป็นหลัก

สำหรับไตรมาส 3/62 ส่วนต่างของผลิตภัณฑ์โรงกลั่นปรับตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า โดยเฉพาะส่วนต่างผลิตภัณฑ์น้ำมันดีเซล-น้ำมันดิบดูไบ ซึ่งเป็นผลจากมาตรการการลดการใช้น้ำมันเตากำมะถันสูงในธุรกิจเดินเรือตามนโยบายของ International Marine Organization (IMO)

และส่วนต่างของน้ำมันเตา-น้ำมันดิบดูไบที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันมีค่าการกลั่น (GRM) ปรับเพิ่มขึ้นจาก 3.46 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลในไตรมาสก่อนมาอยู่ที่ 4.40 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ธุรกิจอะโรเมติกส์ส่วนต่างผลิตภัณฑ์เบนซีนกับคอนเดนเสทปรับตัวดีขึ้น จากความต้องการผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ โดยเฉพาะสไตรีนโมโนเมอร์ ที่ยังคงมีอัตรากำลังการผลิตอยู่ในระดับสูง และการลดลงของระดับสินค้าคงเหลือของเบนซีน ในประเทศจีนอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี ส่วนต่างผลิตภัณฑ์พาราไซลีนกับคอนเดนเสทปรับตัวลดลง แม้ว่าจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการผลิตภัณฑ์ปลายน้ำที่ยังคงมีอัตรากำลังผลิตอยู่ในระดับสูง เนื่องจากตลาดมีความกังวลจากกำลังการผลิตใหม่ที่ทยอยเข้ามา อย่างไรก็ตาม ผลจากการเปลี่ยน Catalyst ในไตรมาส 2/62 ที่ผ่านมาทำให้ได้ผลผลิตพาราไซลีนมากขึ้นในภาพรวม ส่งผลให้กำไรขั้นต้นหรือ Product to Feed margin (P2F) ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 136 เหรียญสหรัฐต่อตัน จาก 75 เหรียญสหรัฐต่อตัน ในไตรมาสก่อนหน้าหรือเพิ่มขึ้น 83%

ธุรกิจโอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ยังคงได้รับแรงกดดันจากการชะลอตัวเศรษฐกิจโดยรวม และมีแนวโน้มลดลงตลอดไตรมาส ส่งผลให้ Adjusted EBITDA margin ของธุรกิจโอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ปรับลดลง 15% ทำให้ Adjusted EBITDA ของบริษัทในไตรมาส 3/62 อยู่ที่ 7,441 ล้านบาท ลดลง 2% จากไตรมาสก่อน และลดลง 56% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

อย่างไรก็ตาม จากความผันผวนของราคาน้ำมันดิบดูไบและส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ส่งผลให้ษริษัทรับรู้ผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันและรายการกลับรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Stock Loss Net Reversal of NRV) ขาดทุนรวม 372 ล้านบาท

ส่วนแนวโน้มตลาดน้ำมันในปี 63 คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่ 58-65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนแนวโน้มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ บริษัทคาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์พาราไซลีนกับแนฟทาจะอยู่ที่ 320-330 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลงจากปี 62 สำหรับส่วนต่างของราคาเบนซีน และแนฟทาจะอยู่ที่ประมาณ 170-180 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้นจากปี 62 เนื่องจากอุปสงค์ใหม่เพิ่มขึ้น แต่ในปี 63 บริษัทมีแผนการหยุดซ่อมบำรุงหน่วยผลิตอะโรเมติกส์ 2 ในไตรมาส 1/63 เป็นเวลา 19 วัน

ส่วนผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องในปี 63 มีแนวโน้มลดลงจากปีนี้เล็กน้อย คาดว่าราคาเฉลี่ยเม็ดพลาสติก HDPE จะอยู่ 910-1,030 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยปีหน้าบริษัทมีแผนปิดซ่อมบำรุงของโรงโอฟินส์ 2/1 เป็นเวลา 39 วัน และโรงโอเลฟินส์ 2/2 เป็นเวลา 35 วัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ