ประธาน FETCO ค้านแนวคิดกองทุนใหม่นับรวมวงเงินรับสิทธิประโยชน์ภาษีกับ RMF ไม่เกิน 5 แสน หวั่นฉุดเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดทุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday November 28, 2019 13:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวถึงกองทุนใหม่ที่จะมาแทนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) ว่า ความเห็นส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของกระทรวงการคลังที่จะกำหนดให้นำวงเงินลงทุนที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุนใหม่ไปคิดรวมกับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ไม่เกิน 500,000 บาท/ปี เพราะมองว่าจะทำให้เม็ดเงินเข้าสู่ตลาดทุนน้อยลง หรืออาจจะหายไปเกินกว่าครึ่ง

"เหตุที่กลัวการไปรวมเป็นวงเงินเดียวกัน เพราะเกรงเม็ดเงินที่เข้าสู่ตลาดทุนจะลดลง จากปัจจุบันที่เข้ามาปีละ 50,000 ล้านบาทผ่านกองทุน LTF นั้น สามารถสร้างเสถียรภาพให้ตลาดทุนได้ส่วนหนึ่ง เพราะเป็นเม็ดเงินระยะยาว...เราคิดว่าควรจะแยกวงเงิน ยืนยันว่ามันคนละวัตถุประสงค์กัน RMF ไม่ควรไปแตะ ควรจะเป็น 5 แสนเหมือนเดิม เพราะมันดีอยู่แล้ว ส่วนวงเงินใหม่ที่เราเสนอไป 250,000 บาท หากกระทรวงคลังเห็นว่าเยอะไป ก็ให้เขาไปพิจารณา แต่เรามองว่า 200,000-250,000 บาท น่าจะเป็นวงเงินที่รับได้ พอที่จะทำให้มีเงินเข้ามาในตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง ไม่หดหาย" นายไพบูลย์ กล่าว

ส่วนระยะเวลาสำหรับการออมในกองทุนใหม่นี้ มองว่าระยะเวลา 10 ปีน่าจะเหมาะสม ไม่นานจนเกินไป ซึ่งเพียงพอต่อการสร้างวินัยการออมในระยะยาวแล้ว

นายไพบูลย์ ยังเชื่อว่า ในปีนี้เม็ดเงินจากการลงทุนในกองทุน LTF ยังมีไม่ค่อยมากนัก ซึ่งต่างจากปกติที่จะมีการลงทุนค่อนข้างคึกคักในช่วงปลายปี ทั้งนี้อาจเป็นเพราะนักลงทุนยังรอดูความชัดเจนของกองทุนใหม่ที่จะมาแทนกองทุน LTF ดังนั้นจึงต้องการให้กระทรวงการคลังเร่งหาข้อสรุปในส่วนนี้ให้เร็วที่สุด

"ถ้ารีบสรุปได้ก็จะดี ตอนนี้คนก็ยังรอๆ ดู...เม็ดเงินที่เข้ามาใน LTF ยังน้อย คนคงรอความชัดเจน จริงๆ เราอยากเข้าไปชี้แจงให้มากกว่านี้ ตอนนี้ก็รอนัดกับ รมว.คลัง อยู่" นายไพบูลย์กล่าว

ประธาน FETCO กล่าวด้วยว่า อยากให้ทุกฝ่ายมองเห็นถึงความสำคัญของตลาดทุน เพราะหากตลาดทุนเข้มแข็งแล้วจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับเศรษฐกิจได้เป็นอย่างมาก โดยปัจจุบันมองว่านักลงทุนยังไม่ค่อยมีความเชื่อมั่น สะท้อนได้จากผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในอันดับต่ำติด 1 ใน 5 ของโลก ขณะที่ผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศอื่นๆ ที่แม้จะได้รับผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้าระหว่างกันเอง กลับยังมีผลตอบแทนการลงทุนในระดับที่น่าพอใจ เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐ มีผลตอบแทนการลงทุนถึง 30%, ตลาดหุ้นจีน มีผลตอบแทนการลงทุน 20% ขณะที่ตลาดหุ้นไทย มีผลตอบแทนการลงทุนเพียง 2-3% เท่านั้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ