PRM ตั้งเป้ารายได้ปี 63 โตกว่า 12% หลังขยายกองเรือเพิ่ม-ขึ้นค่าระวาง จ่อทำดีล M&A ธุรกิจเกี่ยวข้องคาดชัดเจนปีหน้า

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday December 12, 2019 16:51 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บมจ.พริมา มารีน (PRM) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ปี 63 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 12% จากปีนี้คาดเติบโต 10-12% จากปี 61 ที่มีรายได้อยู่ที่ 4,730.72 ล้านบาท โดย 9 เดือนที่ผ่านมามีรายได้แล้ว 4,020.90 ล้านบาท โดยยังคงมาจากธุรกิจเรือขนส่งและกักเก็บ (FSU) เป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 48% ของรายได้รวม

นายวิริทธิ์พล มองว่าในปีหน้าจะมีความต้องการขนส่งทางเรือเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะหลังองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization: IMO) เตรียมบังคับใช้มาตรการ IMO2020 ในวันที่ 1 ม.ค.63 ทำให้เรือส่วนใหญ่หันมาใช้น้ำมันเตาที่มีกำมะถันต่ำ (Low Sulfur Fuel Oil) ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจเรือ FSU ที่มีอุปกรณ์เก็บและผสมน้ำมันเตากำมะถันต่ำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทมีแผนเพิ่มเรือ FSU อีก 1 ลำ และยังส่งผลต่ออัตราค่าระวางเรือปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย อีกทั้งบริษัทมีแผนปรับเพิ่มอัตราค่าระวางเรือขึ้น จากปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 20,000 เหรียญสหรัฐ/วัน

นอกจากนี้ มองว่าในปีหน้าธุรกิจเรือขนส่งระหว่างประเทศจะมีความต้องการใช้เรือมากขึ้นจากซัพพลายที่น้อยลง ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อค่าระวางเรือดีขึ้นไปด้วย หลังจากผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยปัจจุบันบริษัทมีเรือขนส่งระหว่างประเทศ 1 ลำ คาดว่าในปีหน้าจะซื้อเรือเข้ามาเพิ่มอีก 2 ลำ ขณะที่ธุรกิจเรือขนส่งภายในประเทศ ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมีเรือทั้งสิ้น 32 ลำ คาดว่าในปีหน้าจะขายเรือที่มีอายุการใช้งานสูงออกไป และมีแผนจะซื้อเรือเข้ามาทดแทนด้วย ทำให้ในปี 63 จะมีเรือ 30 ลำ

สำหรับแผนการลงทุนในปี 63 บริษัทวางงบลงทุนไว้ที่ 2,000 ล้านบาทในการใช้ซื้อเรือเพิ่มอีกจำนวน 8 ลำ ทำให้ในปีหน้าจะมีกองเรือเพิ่มเป็น 46 ลำ และระวางบรรทุกจะเพิ่มเป็น 3.2-3.3 ล้านเดทเวทตัน จากสิ้นปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 43 ลำ และมีระวางบรรทุกอยู่ที่ 2.8 ล้านเดทเวทตัน โดยมีแผนขายเรือออกจำนวน 5 ลำ

พร้อมกันนี้ บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตรในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกันเพื่อเข้าซื้อกิจการ (M&A) แต่ยังไม่สามารถระบุรายละเอียดได้ในขณะนี้ โดยเบื้องต้นคาดเห็นความชัดเจนได้ในปีหน้า อย่างไรก็ตามบริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยปัจจุบันมีหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 0.8 เท่า จึงยังมีความสามารถในการกู้ยืมจากสถาบันทางการเงินได้อีกมาก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ