นายบรรยง วิเศษมงคลชัย ประธานคณะกรรมการบริหาร บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 63 ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับระดับปกติของบริษัทที่มีรายได้ราวปีละ 1.7-1.8 หมื่นล้านบาท แม้ว่าจะลดลงจากปี 62 ที่คาดว่าจะมีรายได้แตะ 2 หมื่นล้านบาท เนื่องจากปีนี้บริษัทมีขายที่ดินล็อตใหญ่ออกไปให้กับลูกค้ารายใหญ่ ทำให้รายได้ในปีนี้จะสูงกว่าระดับปกติ
ขณะที่บริษัทวางแผนการซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มไม่ต่ำกว่าปีนี้ที่ซื้อไปราว 1.2 หมื่นล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่มีหลักประกัน ซึ่งปัจจุบันพอร์ตหนี้ที่บริษัทบริหารอยู่มีมูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่มีหลักประกัน โดยบริษัทมองแนวโน้มว่าในปีหน้าจะมีหนี้ NPL และ NPA ขายออกมาในระบบมากขึ้นในช่วงภาวะที่เศรษฐกิจยังชะลอตัว เพราะทำให้สถาบันการเงินต่างๆ จะมีการทยอยขายหนี้ออกมาเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ในปี 63 บริษัทวางแผนการเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 4 สาขาเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้ทั่วถึงขึ้นจากปัจจุบันบริษัทมีสาขาทั้งหมด 26 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งจะเปิดใหม่ ได้แก่ สาขาดอนเมือง สาขาบางนา สาขาสมุทรปราการ และสาขาทำเลกรุงเทพตะวันตก
นางทองอุไร ลิ้มปิติ ประธานกรรมการ BAM เปิดเผยว่า บริษัทพอใจกับราคาเปิดซื้อขายวันแรกของ BAM ที่ 18.40 บาท/หุ้น หรือเพิ่มขึ้น 5.14% จากราคาเสนอขาย IPO ที่ 17.50 บาท/หุ้น
ทั้งนี้ มองว่าการที่นักลงทุนให้การตอบรับที่ดีในวันซื้อขายวันแรก จากการที่บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีมาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 20 ปี ทำให้นักลงทุนมั่นใจในธุรกิจของบริษัท และหากสิ้นสุดระยะเวลาการใช้ Green Shoe มองว่าราคาหุ้น BAM จะไม่ต่ำกว่าราคาขาย IPO จากปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจที่ดี และในช่วงธุรกิจขาลงเป็นช่วงที่บริษัทสามารถซื้อ NPL เข้ามาได้มากขึ้น และช่วงที่เศรษฐกิจขาขึ้นบริษัทสามารถขาย NPL ออกไปสร้างรายได้กับบริษัท ทำให้มั่นใจว่าบริษัทยังมีการเติบโตที่มั่นคงได้
ด้านนายบรรยง กล่าวอีกว่า หุ้น BAM มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี และเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีและสม่ำเสมอคล้ายกับกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5-6% ต่อปี สามารถสร้างความน่าสนใจจากนักลงทุนได้