ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ ของ BANPU ที่ "A+" แนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 25, 2019 17:06 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ.บ้านปู (BANPU) ที่ระดับ "A+" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความเป็นผู้นำของบริษัทในอุตสาหกรรมถ่านหินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตลอดจนรายได้ที่แน่นอนจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า และการปรับกลยุทธ์ของบริษัทที่จะเป็นบริษัทพลังงานแบบครบวงจรและมุ่งเน้นพลังงานสะอาดมากยิ่งขึ้น การประเมินอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงความต้องการใช้ถ่านหินที่ชะลอตัวลงซึ่งได้รับผลกระทบจากความพยายามที่จะลดมลพิษทางอากาศของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกด้วย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมผลิตถ่านหินในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

บริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำในอุตสาหกรรมผลิตถ่านหินในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกโดยบริษัทเป็นเจ้าของเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย จีน และมองโกเลีย ณ เดือนกันยายน 2562 บริษัทมีปริมาณสำรองถ่านหินทั้งสิ้น 529 ล้านตัน โดยบริษัทมีปริมาณสำรองถ่านหินของเหมืองอินโดนีเซียเทียบเท่ากับปริมาณการผลิตนานประมาณ 9 ปีและสำหรับเหมืองออสเตรเลียมากกว่า 25 ปี

นอกจากนี้ บริษัทยังมีฐานลูกค้าที่หลากหลายอีกด้วย บริษัทมีเป้าหมายที่จะจำหน่ายถ่านหินได้ 41 ล้านตันในปี 2562 ซึ่งรวมถึงยอดขายจากเหมืองในประเทศจีน ทั้งนี้ ยอดขายของบริษัทจำนวน 30% มาจากลูกค้าที่อยู่ในประเทศจีน ในขณะที่ 16% มาจากลูกค้าในประเทศออสเตรเลีย และ 16% มาจากลูกค้าในประเทศญี่ปุ่น ส่วนปริมาณถ่านหินที่เหลือนั้นจำหน่ายให้แก่ลูกค้าในประเทศเกาหลี ไต้หวัน อินเดีย ไทย และประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การผลิตถ่านหินเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

การผลิตถ่านหินของบริษัทจากเหมืองในประเทศอินโดนีเซียและออสเตรเลียนั้นคาดว่าจะเพิ่มเป็นประมาณ 37 ล้านตันในปี 2563 จาก 35 ล้านตันในปี 2561 โดยการเพิ่มขึ้นนั้นส่วนใหญ่มาจากเหมืองออสเตรเลียหลังจากที่บริษัทประสบความสำเร็จในการเริ่มผลิตถ่านหินจากเหมือง Airly ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2562 รวมถึงการปรับปรุงกระบวนการผลิตในเหมืองอื่น ๆ ราคาถ่านหินในปัจจุบันนั้นทำให้บริษัทต้องลดต้นทุนลงการผลิตรวมทั้งลดอัตราส่วนในการเปิดหน้าดินต่อการผลิตถ่านหินสำหรับเหมืองอินโดนีเซีย

ธุรกิจผลิตไฟฟ้าสร้างกระแสเงินสดที่แน่นอนแก่บริษัท

ทริสเรทติ้งมองว่าการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าช่วยให้สถานะทางธุรกิจของบริษัทแข็งแกร่งขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากกระแสเงินสดที่แน่นอนจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าน่าจะมีส่วนช่วยให้ผลการดำเนินงานโดยรวมของบริษัทได้รับผลกระทบน้อยลงจากราคาถ่านหินที่ผันผวน บริษัทขยายการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าผ่าน บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ปัจจุบันบริษัทบ้านปู เพาเวอร์ ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าหลายแห่งในประเทศไทย รวมทั้งในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จีน และญี่ปุ่น โดยมีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการลงทุนทั้งสิ้น 3.0 กิกะวัตต์ ซึ่งเปิดดำเนินการแล้ว 2.3 กิกะวัตต์ ธุรกิจนี้มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายคิดเป็นประมาณ 20% ของบริษัทโดยรวมและปันผลกลับมาให้บริษัทจำนวน 345 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 บริษัทบ้านปู เพาเวอร์ มีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็นประมาณ 6.1 กิกะวัตต์ภายในปี 2568 โดยเป้าหมายนี้จะสามารถบรรลุผลได้ด้วยการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นและเวียดนาม รวมทั้งการเริ่มดำเนินงานโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศจีน การลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเวียดนาม การลงทุนโรงไฟฟ้าก๊าซในประเทศสหรัฐฯ และการลงทุนอื่น ๆ ในธุรกิจเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน

นโยบายพลังงาน Greener and Smarter

บริษัทมีแผนจะปรับโครงสร้างการลงทุนในธุรกิจพลังงานเพื่อให้สอดรับกับกลยุทธ์ Greener and Smarter โดยบริษัทจะตั้งบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อ "Banpu Next" เพื่อมุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและธุรกิจเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน เช่น ธุรกิจผลิตแบตเตอรี่ (Energy Storage) ระบบการซื้อขายพลังงาน (Energy Trading Platform) และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโซลูชั่นด้านพลังงานอื่น ๆ (Energy Solutions) โดยที่บริษัทบ้านปู เพาเวอร์ จะมุ่งเน้นการลงทุนในโรงไฟฟ้าแบบดั้งเดิมที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นเชื้อเพลิงหลัก ในขณะที่จะมีการโอนโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนจากบริษัทบ้านปู เพาเวอร์ มายัง Banpu Next ส่วนบริษัทเทคโนโลยีด้านพลังงานอื่นๆ เช่น "Sunseap" และ "Durapower" นั้นจะอยู่ภายใต้ Banpu Next เช่นกัน

ขยายธุรกิจก๊าซธรรมชาติในประเทศสหรัฐฯ

บริษัทได้ประกาศเข้าซื้อสินทรัพย์แหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติ Barnett Shale ในประเทศสหรัฐฯ ด้วยมูลค่า 770 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2562 โดยการซื้อนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทที่จะขยายไปสู่ธุรกิจพลังงานที่สะอาดมากขึ้น ธุรกรรมนี้ขึ้นอยู่กับการปฎิบัติตามข้อตกลงและเงื่อนไขในสัญญาซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563

แหล่งก๊าซธรรมชาติ Barnett Shale มีฐานการผลิตอยู่ในมลรัฐเท็กซัส โดยมีกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติประมาณ 500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันและมีปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติที่พิสูจน์แล้วประมาณ 3.5 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต ณ เดือนกันยายน 2562 การซื้อสินทรัพย์ในครั้งนี้จะเพิ่มปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติให้แก่บริษัทอีก 500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันจากที่ผลิตได้ 200 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2561 จากสินทรัพย์ของบริษัทที่แหล่ง Marcellus นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติที่พิสูจน์แล้วให้แก่บริษัทอีก 3.5 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตจาก 1.2 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต ณ สิ้นปี 2561

บริษัทมีแผนจะใช้เงินกู้ประมาณ 600-650 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการซื้อสินทรัพย์ในครั้งนี้ โดยบริษัทคาดว่าสินทรัพย์นี้จะช่วยเพิ่มกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายให้แก่บริษัทได้ประมาณ 115-125 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีหลังจากที่รับรู้ผลการดำเนินงานรวมเต็มปีตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป

EBITDA ลดลงเล็กน้อยในปี 2562

แม้ว่าราคาถ่านหินจะลดลง แต่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทยังคงอยู่ที่ประมาณ 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 เนื่องจากบริษัทได้รับเงินปันผลรวมทั้งสิ้น 387 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเทียบกับ 129 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเดียวกันของปีก่อน เงินปันผลรับที่มากขึ้นดังกล่าวเป็นผลเนื่องมาจากการจ่ายเงินปันผลพิเศษจาก บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด จำนวนรวมทั้งสิ้น 237 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทสำหรับปี 2562 คาดว่าจะลดลงเหลือประมาณ 750-800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จาก 982 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2561 ซึ่งสะท้อนถึงภาวะราคาถ่านหินที่อยู่ในระดับต่ำในปัจจุบัน สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 ราคาดัชนีถ่านหิน Newcastle ลดลง 26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเหลือ 81 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน โดยปัจจุบันราคาแกว่งตัวอยู่ระหว่าง 65-70 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน

ธุรกิจก๊าซธรรมชาติจะช่วยเพิ่ม EBITDA ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป

การเพิ่มกำลังการผลิตถ่านหินในประเทศจีนรวมถึงการปรับปรุงระบบการขนส่งถ่านหินภายในแผ่นดินจีนส่งผลกดดันต่อราคาถ่านหิน ทริสเรทติ้งมองว่าราคาถ่านหินจะลดลงในปี 2563 จากระดับในปี 2562 ทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทน่าจะอยู่ที่ประมาณ 600-800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในช่วงปี 2563-2565 ในขณะที่เงินปันผลรับจากธุรกิจไฟฟ้าคาดว่าน่าจะกลับมาอยู่ในระดับปกติที่ประมาณ 50-70 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ส่วนผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ Barnett Shale นั้นคาดว่าจะสามารถรับรู้ได้เต็มจำนวนในปี 2564 หลังจากการควบรวมแล้วเสร็จในปี 2563

ธุรกิจก๊าซธรรมชาตินั้นคาดว่าจะมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ประมาณ 50%-60% เมื่อเทียบกับธุรกิจถ่านหินที่มีอัตรากำไรประมาณ 20%-30% ทริสเรทติ้งมองว่าการซื้อสินทรัพย์ที่แหล่ง Barnett Shale นั้นจะช่วยให้บริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้นเนื่องจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติน่าจะช่วยลดความเสี่ยงจากความต้องการใช้ถ่านหินที่ค่อย ๆ ลดลงในระยะยาว และยังได้ประโยชน์จากแนวโน้มการใช้ก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นในประเทศสหรัฐฯ อันเป็นผลจากโรงไฟฟ้าถ่านหินที่นั่นเริ่มทยอยปิดการดำเนินงานเนื่องจากมีอายุมากและจะเปลี่ยนไปเป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงแทน

ภาระหนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในปี 2563

ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นในปี 2563 จากการซื้อสินทรัพย์ในแหล่ง Barnett Shale จากสมมติฐานการลงทุนคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทน่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 55%-60% ในช่วงปี 2563-2565 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายนั้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 6-8 เท่าในปี 2563 และจะลดลงเหลือ 4-6 เท่าในปี 2564 และปี 2565

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

ราคาดัชนีถ่านหิน Newcastle จะอยู่ที่ระหว่าง 70-80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในช่วงปี 2563-2565

ปริมาณการจำหน่ายถ่านหินจากเหมืองอินโดนีเซียและออสเตรเลียจะอยู่ที่ประมาณ 35-40 ล้านตันต่อปี

เงินลงทุนที่ยังไม่รวมการลงทุนในแหล่ง Barnett Shale จะอยู่ที่ประมาณ 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงปี 2563-2565

จะมีการจ่ายเงินลงทุนในสินทรัพย์ของแหล่ง Barnett Shale ที่ประมาณ 77 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2562 และอีกประมาณ 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2563

กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจากสินทรัพย์ในแหล่ง Barnett Shale จะอยู่ที่ประมาณ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2563 และประมาณ 80-100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงปี 2564-2565

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทบ้านปูจะยังคงความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมถ่านหินต่อไป โดยเงินปันผลรับจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากความผันผวนของอุตสาหกรรมถ่านหินได้บางส่วน นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาวินัยทางการเงินและบริหารการเงินอย่างระมัดระวังเพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงินที่ดีเอาไว้ซึ่งจะช่วยให้บริษัทประคองตัวต่อไปได้ในภาวะที่อุตสาหกรรมถ่านหินมีความผันผวน

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับขึ้นได้หากบริษัทมีสถานะทางการเงินที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหรือมีกระแสเงินสดที่มีเสถียรภาพมากขึ้น ในขณะเดียวกัน อันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากราคาถ่านหินลดลงจนทำให้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าความคาดหมายอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การลงทุนโดยการก่อหนี้จนส่งผลให้โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงและทำให้กระแสเงินสดส่วนเกินที่รองรับการชำระหนี้ลดลงอย่างต่อเนื่องก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่อาจส่งผลให้อันดับเครดิตถูกปรับลดลง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ