บล.เอเซีย พลัส มอง SET ปีนี้แกว่งกรอบ 1,579-1,675 จุด แม้เผชิญหลายแรงกดดัน แต่คาดกำไรบจ.ยังแกร่งช่วยหนุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 8, 2020 14:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า ประเมินเป้าดัชนีปี 63 แบบอนุรักษ์นิยม โดยคาดการณ์ดัชนีกรอบบนที่ 1,675 จุด ส่วนกรอบล่างจะอยู่ที่ 1,579 จุด แต่หากมีปัจจัยกดดันมากขึ้นก็เชื่อว่าจะไม่หลุดระดับ 1,500 จุด ขณะที่ P/E Ratio ที่ 16.5-17.5 เท่า เมื่อคำนวณเทียบกับกำไรสุทธิ/หุ้น (EPS) ปีนี้ที่ 95.71 บาท

ทั้งนี้ มองว่าปีนี้ตลาดหุ้นไทยยังต้องเจอแรงกดดันหลายเรื่อง โดยในส่วนของปัจจัยภายนอก มีความเสี่ยงจากประเด็นสงครามการค้า จากประเทศคู่ค้าอื่นที่ไม่ใช่สหรัฐฯกับจีน ซึ่งจะกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยให้ชะลอตัว รวมถึงสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่าน

ขณะที่ความเสี่ยงภายในประเทศมีประเด็นความร้อนแรงทางการเมือง ที่อาจจะกระทบต่อความมั่นคงของรัฐบาล รวมทั้งภัยแล้งที่ในปีนี้คาดว่าจะหนักสุดในรอบ 40 ปี ก็จะกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมการเกษตร และการบริโภคประชาชนที่อยู่ในภาคการเกษตร นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการปรับเปลี่ยนมาตรฐานการบัญชีใหม่ที่ถือเป็นความเสี่ยงต่อประมาณการกำไรของตลาดด้วย

ส่วนกระแสเงินทุนจากต่างชาติ (fund flow) คาดว่าจะชะลอการไหลออก หลังจาก 3 ปีที่ผ่านมามีแรงขายต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามปัจจัยที่จะกดดันการไหลเข้าของกระแสเงินทุน ยังมีหลายปัจจัยทั้งในเรื่องความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่จะทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น เห็นได้จากขณะนี้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 7 ปี อีกทั้งยังมีเรื่องของภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตเพียง 2.8% น้อยกว่าประเทศอื่น ที่มีการเติบโตเฉลี่ย 3.4% ทำให้ความสนใจลดน้อยลง รวมไปถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่มีโอกาสรุนแรง อีกทั้งค่าเงินบาทที่แข็งค่าด้วย

อย่างไรก็ดีแม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะเติบโตไม่มากแต่ก็มีปัจจัยขับเคลื่อนจากการเบิกจ่ายงบประมาณที่คาดว่าจะเบิกจ่ายได้ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกหลังการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้าไป 4 เดือน นอกจากนี้อาจจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มเติม และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ 1.25%

นอกจากนี้ยังประเมินกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ราว 1 ล้านล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 95.71 บาท เติบโต 3.9% โดยอุตสาหกรรมที่จะเติบโตดีกว่าตลาดส่วนใหญ่เกิดจากฐานกำไรสุทธิปี 62 ที่ต่ำกว่าปกติ เช่น กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มพลังงาน กลุ่มรับเหมาและวัสดุก่อสร้าง ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์แนะนำลงทุนได้ในช่วงไตรมาส 1/63

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในไตรมาส 1/63 เน้นการลงทุนหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวหนุนให้ผลประกอบการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เช่น บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) , บมจ.ปตท. (PTT) ,บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) , บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) (AP) ,บมจ.โรบินสัน (ROBINS) และบมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF)


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ