(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ย่อลงตามตปท. กังวลข้อพิพาทการค้าหลังมีข่าวสหรัฐฯจะไม่ลดภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มเติม

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 15, 2020 09:27 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสย่อตัวลงคล้ายคลึงกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ต่างย่อตัวลงเล็กน้อยราว 0.1-0.2% เช่นเดียวกับดาวโจนส์ฟิวเจอร์สที่ติดลบ มีเพียงราคาทองที่เป็นบวก ภายหลังจากที่มีกระแสข่าวออกมาว่า สหรัฐฯจะไม่ลดภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มเติม ทำให้นักลงทุนเกิดความวิตกและมีการเทรดหุ้นกันอย่างระมัดระวัง พร้อมรอดูรายละเอียดการลงนามข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งถ้าออกมาไม่ดีจริงก็มีโอกาสที่จะถูกขายออกมา

สำหรับบ้านเราเริ่มเข้าสู่ทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนแล้ว ก็เริ่มที่กลุ่มแบงก์ที่จะกำลังทยอยประกาศงบฯออกมา โดยล่าสุด TISCO ก็ประกาศงบฯออกมา inline ส่วนวันนี้ก็จะมี KTC ที่จะประกาศงบฯออกมา ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทในสหรัฐฯออกมาดีกว่าคาด ในส่วนของกลุ่มการเงินของสหรัฐฯออกมาเป็นบวก นอกจากนี้ ช่วงนี้ก็ต้องจับตาทิศทางค่าเงินบาท ซึ่งช่วงนี้จะอ่อนค่าแต่มองเป็นแค่ Short term คาดว่าไม่นานจะกลับมาแข็งค่าเหมือนเดิม เนื่องจากดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวก

พร้อมมองกลุ่มการแพทย์ อย่าง BCH, CHG น่าจะเคลื่อนไหวได้ดี เนื่องจากคณะกรรมการประกันสังคมได้ปรับค่าหัวเหมาจ่ายขึ้น 9% มีผลปีนี้ อย่างไรก็ดี ดัชนีฯจะต้องไม่หลุด 1,580 จุด มิฉะนั้นสัญญาณทางเทคนิคจะเป็นลบ พร้อมให้แนวรับ 1,580-1,572 จุด ส่วนแนวต้าน 1,593-1,600 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (14 ม.ค.63) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 28,939.67 จุด เพิ่มขึ้น 32.62 จุด (+0.11%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,283.15 จุด ลดลง 4.98 จุด (-0.15%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 9,251.33 จุด ลดลง 22.60 จุด (-0.24%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 101.69 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 3.65 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 5.93 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 9.89 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 9.08 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 4.00 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 0.66 จุด
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (14 ม.ค.63) 1,586.90 จุด เพิ่มขึ้น 0.74 จุด (+0.05%)
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 831.31 ล้านบาท เมื่อวันที่ 14 ม.ค.63
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.พ.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (14 ม.ค.63) ปิดที่ระดับ 58.23 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 15 เซนต์ หรือ 0.3%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (14 ม.ค.) อยู่ที่ 0.26 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 30.25 ตลาดจับตาการลงนามข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-จีนเฟสแรก
  • "แบงก์ชาติ" เรียกร้องทุกฝ่ายร่วมแก้ปัญหาบาทแข็ง ย้ำเกิดจากโครงสร้าง หลังเกินดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง ยันไม่จำเป็นต้องใช้ยาแรงแก้ปัญหา เหตุไม่พบการเก็งกำไรจากต่างชาติ เล็งผ่อนคลายเกณฑ์ลงทุนนอกเพิ่ม พร้อมปัดตั้ง "กองทุนมั่งคั่ง" ยันไม่ช่วยให้บาทอ่อน ด้าน คปภ. จ่อขยายพอร์ตประกัน ลงทุนนอกเพิ่มเป็น 25% หวังช่วยแก้ปัญหาบาทแข็ง
  • "อุตตม" เผยมีแผนเดินสายออกโรดโชว์ ดึงนักลงทุนต่างชาติทั้งยุโรปและเอเชีย หลังผู้บริหารกว่า 30 กองทุนขนาดใหญ่ทั่วโลกแสดงความสนใจ ย้ำปีนี้จะเป็นปีแห่งการลงทุนของไทย พร้อมพบรัฐมนตรีคลังฮ่องกง หนุนตลาดทุนไทยเปิดขายกองทุนรวมระหว่างประเทศ คาดลงนามข้อตกลงในไตรมาส 2 ปีนี้ ด้านก.ล.ต.ระบุ ความร่วมมือนี้จะทำให้การยื่นไฟลิ่งข้อมูลเป็นแบบฟาสต์แทร็ก
  • สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กังวลการเมือง-เศรษฐกิจโลกชะลอตัว-เงินบาทแข็งโป๊ก กดดันท่องเที่ยวปีนี้โตต่ำ จี้รัฐบาลพัฒนามาตรการถูกใจนักท่องเที่ยว วอนต่ออายุฟรีวีโอเอ ย้ำเป็นสิ่งต้องทำ เหตุภาคท่องเที่ยวทั่วโลกแข่งขันดุ หลายประเทศยอมฟรีวีซ่า
  • ครม.ไฟเขียวควบรวม TOT-CAT สั่งตั้งบริษัทใหม่ ชื่อ โทรคมนาคมแห่งชาติ (National Telecom:NT Co.) ให้คลังถือหุ้น 100% โยนดีอีกำกับดูแล พร้อมขีดเส้นดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน

*หุ้นเด่นวันนี้

  • BCH (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 22 บาท (ยังไม่รวมการปรับเพิ่มของสปส.) บอร์ดประกันสังคมประกาศจ่ายเพิ่มค่าบริการทางการแพทย์สำหรับผู้ประกันตนขึ้นราว 10% มีผล 1 ม.ค. 2563 อัตราการเพิ่มใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด แต่การจ่ายสำหรับโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) เพิ่มจากเดิมถึง 17% ทำให้ตลาดน่าจะคลายกังวลเรื่องการจ่ายที่ต่ำกว่าที่ประกาศใน Q4/62 ทั้งนี้ BCH เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลที่ได้ประโยชน์แต่ราคาหุ้นกลับ laggard ที่สุด ทำให้ P/E เหลือเพียง 28 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มที่ 32 เท่า ขณะที่กำไรปีนี้คาดโต 12% ยังไม่รวมผลของการปรับเพิ่มของสปส. ซึ่งสูงกว่ากลุ่มที่คาดโต 11%
  • CPF (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 33.5 บาท คาดทิศทางผลกำไร Q4/62 และต่อเนื่องไปยัง Q1/63 จะยังดีต่อเนื่อง ตอบรับราคาหมูในประเทศฟื้นตัวขึ้นสู่ระดับ 73-74 บาท ต่อกก.เทียบจาก 55 บาทต่อกก.ในช่วง Q2/62-Q3/62 เช่นเดียวกับราคาหมูเวียดนามที่ฟื้นตัวขึ้นกว่าเท่าตัวจากระดับ 33,000 ดองต่อกก. ขึ้นเป็น 80,000 ดองต่อกก.ในปัจจุบัน
  • KBANK (คิงส์ฟอร์ด)"ทยอยซื้อ"เป้า 166 บาท KBANK แจ้งข่าวแผนขยายธุรกิจธนาคารร่วมกับ Ayeyarwaddy Farmer Development Bank (A Bank) ในเมียนมา ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางการลงทุนและรอการอนุมัติของธนาคารกลางเมียนมาและธปท. ฝ่ายวิจัยมองการขยายกิจการธนาคารไปต่างประเทศ CLMV เป็น Road Map ที่ธนาคารขนาดใหญ่ของไทยจะต้องทำอยู่ แล้ว เพียงแต่จะเริ่มที่ประเทศใดก่อน ซึ่งแต่ละธนาคารจะพิจารณากฏระเบียบ,หลักเกณฑ์, ผลตอบแทน, ความเสี่ยงและความคุ้มค่าต่อการลงทุน สำหรับ A Bank เป็น Unlisted Private Bank มี Asset 5.7 พันล้านบาท ขนาดเล็กมากเพียง 0.17% ของ Asset ของ KBANK ที่ 3.3 ล้านล้านบาท ดังนั้น ผลกระทบด้านความเสี่ยงจึงน้อยและคาดว่าจะใช้เงินลงทุนต่ำที่ไม่เกิน 1 พันล้านบาท เทียบกับที่ BBL ลงทุน 8 หมื่นล้านบาท ในอินโดฯ จึงมองว่าเป็นความคืบหน้าตามแผนของ KBANK ที่จะเติบโตในเมียนมาที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงกว่าไทย โดยล่าสุด World Bank คาด GDP เมียนมาเติบโต 6.4% ขณะที่คาดไทยโตเพียง 2.9% ในปี 63

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ