RAIMON เปิดรับพันธมิตรตปท.ร่วมทุนรายโครงการ/ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 50%

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 5, 2008 14:07 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บมจ.ไรมอนแลนด์(RAIMON) เผยสนใจเปิดรับพันธมิตรจากต่างประเทศโดยเฉพาะแถบตะวันออกลางที่ต้องการเข้ามาร่วมทุนเป็นรายโครงการ แต่คงเข้ามาถือหุ้นในบริษัทไม่ได้เนื่องจากปัจจุบันสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติเกือบเต็มเพดานแล้ว ขณะที่แผนธุรกิจปีนี้ยังเดินหน้าเติบโตต่อเนื่องด้วยการเปิด 3 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 1.7 หมื่นล้านบาทและเตรียมเงินลงทุนซื้อที่ดินใหม่เพิ่มเติมอีก 1-2 พันล้านบาทในกทม.และภูเก็ต เพื่อพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมและวิลล่าระดับไฮ-เอ็นด์ 
ในปี 51 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 50% มาที่ 2.5 พันล้านบาท จากปีก่อนมีรายได้ 1.7 พันล้านบาท ขณะที่ยอดขายน่าจะทำได้ 1 หมื่นล้านบาท โดย ณ สิ้น ก.พ.51 มียอดขายแล้ว 1.5 พันล้านบาท
นายกิตติ ตั้งศรีวงศ์ กรรมการและผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส RAIMON กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ปัจจุบันกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่จากประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ทั้ง 2 ราย IFA Hotels & Resorts 3 Ltd และ Istithmar Hotels FZE ถือหุ้นใน RAIMON รวม 47-48% แล้ว ขณะที่กฎหมายไทยกำหนดเพดานไว้ที่ 49%
"ที่มีข่าวว่ากลุ่มทุนดูไบจะเข้ามา ตอนนี้ยังไม่มีข่าวว่าจะมาถือ เพราะมีผู้ถือหุ้นต่างชาติถือหุ้นอยู่แล้วประมาณ 47-48% ที่เหลือเป็นรายย่อย ไทยเอ็นวีดีอาร์ แต่ถ้าเป็นพันธมิตรในเรื่องของการร่วมลงทุนเราเปิดรับอยู่แล้ว" นายกิตติ กล่าว
*คาดรายได้ปี 51 โต 50%,ยอดขายแตะหมื่นลบ.
นายกิตติ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 2,500 ล้านบาท เติบโตอย่างน้อย 50% จากปี 50 ที่มีรายได้ 1,700 ล้านบาท โดยคาดว่าจะรับรู้รายได้จากโครงการ NorthPoint, โครงการ The River และยูนิตที่เหลือของโครงการ The Lofts เย็นอากาศ และ โครงการ The Heights ที่จะรับรู้ตามส่วนงานที่เหลือ
"ประเด็นคือยอดขายเราขายได้เยอะอยู่แล้ว แต่เรื่องการรับรู้รายได้ต้องเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชี จึงต้องดูเรื่องการก่อสร้าง ถ้าก่อสร้างได้เร็วก็จะรับรู้รายได้ได้เร็ว"นายกิตติ กล่าว
ในปีนี้ RAIMON มีแผนเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการในปีนี้ ได้แก่ โครงการเดอะ Lofts SouthShore พัทยา มูลค่า 4,500 ล้านบาท, โครงการ Rajadamri 185 มูลค่า 8,000—9,000 ล้านบาท และ โครงการ Amalfi วิลล่า ในภูเก็ต ประมาณ 4,000 ล้านบาท รวมมูลค่า 1,7000 ล้านบาท โดยจะเริ่มเปิดตัวในไตรมาส 2-4/51
บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายปีนี้ไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท จากโครงการ Rajadamri 185 ที่น่าจะมียอดขายเข้ามาในปีนี้ 3,500-4,000 ล้านบาท, โครงการ The River ที่ตั้งเป้าขายปีนี้ประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท ที่เหลือมาจาก โครงการ The Lofts Southshore และโครงการ Amalfi
นายกิตติ กล่าวว่า ผลประกอบการในปีนี้จะพลิกเป็นกำไรได้หรือไม่คงต้องรอดู แต่บริษัทก็มีความหวังว่าจะทำกำไรได้เนื่องจากครึ่งหลังของปี 50 เริ่มมีกำไรจากครึ่งปีแรกขาดทุน เนื่องจากงบรวมขาดทุนประมาณ 30 ล้านบาท แต่งบเดี่ยวกำไร 71 ล้านบาท เนื่องจากโครงการที่เปิดตัวไปแต่ยังไม่สามารถรับรู้รายได้ เช่น โครงการ The River ประมาณ 5,000 ล้านบาท แต่ค่าใช้จ่าย เช่น ค่าโฆษณา ต้องรับรู้เป็นค่าใช่จ่ายทันที
"ปีนี้โครงการริเวอร์น่าจะรับรู้รายได้ได้ โครงการ NorthPoint เริ่มรับรู้แล้ว โครงการ NorthShore และ Rajadamri 185 ประเด็นคือ 2 โครงการคือนอร์ทชอร์ และ Rajadamri 185 ถ้าเราเปิดแล้วสามารถรับรู้รายได้ได้ทันก็จะช่วยให้ผลประกอบการดีขึ้น แต่ถ้าเปิดแล้วเรารับรู้รายได้ได้ไม่ทันก็จะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น" นายกิตติ กล่าว
"ปีนี้หวังพลิกกำไร แต่ต้องมองว่ากฎเกณฑ์ต่างๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับยอดขายอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ในการรับรู้รายได้ด้วย ส่วนจะมีการปรับราคาขายหรือไม่ต้องดูภาวะตลาด คงมีปรับบ้างแล้วแต่ช่วงที่ผ่านมามีปรับบ้าง 5-10%" นายกิตติ กล่าว
*เตรียมงบซื้อที่ดินในกทม.และภูเก็ต 1-2 พันลบ.ทำคอนโดฯ-วิลลล่า
นายกิตติ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทยังเตรียมงบลงทุน 1-2 พันล้านบาท เพื่อหาซื้อที่ดินเพิ่ม 2-3 แห่ง ที่ จ.ภูเก็ต และ กทม. ซึ่งกำลังเจรจาอยู่สำคัญคือต้องทำเลดี เพื่อนำมาพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียม หรือ วิลลา ในระดับ Hi-end
"ขึ้นอยู่กับการเจรจาถ้าเจรจาสำเร็จก็จะซื้อปีนี้ โดยจะทำเป็นคอนโดฯ หรือวิลล่า แต่เราถนัดทำคอนโดฯไฮ-เอน ที่อยู่ใน CBD"นายกิตติ กล่าว
นายกิตติ กล่าวว่า ทิศทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมาตรการลดภาษีธุรกิจจาก 3.3% เหลือ 0.1% และลดค่าธรรมเนียมการโอนจาก 3% เหลือ 0.11% รวมทั้งการลดภาระภาษีให้กับประชาชนที่จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อและเพิ่มความเชื่อมั่น น่าจะทำให้ภาคเศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้นและประชาชนมีความมั่นใจในการใช้จ่ายมากขึ้น รวมถึงการซื้อบ้านด้วย
ในแง่ของอัตราดอกเบี้ย ตลาด Hi-end มีผลค่อนข้างน้อย และขณะนี้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับ 3.25-3.50% ค่อนข้างต่ำแล้ว ซึ่งหากลดลงไปอีกได้ก็ดี เพราะจะทำให้การผ่อนชำระและกำลังซื้อประชาชนเพิ่มขึ้นด้วย
"คนจะตัดสินใจซื้อบ้านได้ง่ายขึ้นเพราะในภาพรวมดีขึ้น ความมั่นใจต่างๆ ดีขึ้น"นายกิตติ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ