GOLD วางงบ 2 พันลบ.เทคฯ คอนโดมาขายต่อพร้อมเล็งซื้อที่ดินพัฒนาเองหวังดันสัดส่วนรายได้ 10-20% ในปี 65-66

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday February 17, 2020 17:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายแสนผิน สุขี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โกลเด้นแลนด์เรสซิเดนซ์ จำกัด บริษัทในเครือ บมจ.แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (GOLD) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการเข้าซื้อโครงการคอนโดมิเนียมจากผู้ประกอบการรายอื่นทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์เข้ามาบริหารและขายต่อ ซึ่งเตรียมงบลงทุนราว 2 พันล้านบาท คาดว่าจะเห็นความชัดเจน 1 ดีลในช่วงครึ่งปีหลังของปี 63

โครงการคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการศึกษา เป็นคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จแล้วยังมียูนิตเหลือขาย หรือโครงการคอนโดมิเนียมที่ขายพรีเซลแล้วอยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยจะต้องมีจำนวนยูนิตเหลือขายอยู่ไม่ต่ำกว่า 50% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด และอยู่ในทำเลที่ดี ตอบโจทย์คนเมือง ระดับราคาขาย 150,000-300,000 บาท/ตารางมตร

การเริ่มเข้าสู่ตลาดคอนโดมิเนียมในครั้งนี้มาจากการที่บริษัทมองเห็นโอกาสในตลาดคอนโดมิเนียมที่คาดว่าจะเป็นจุดต่ำสุดในช่วงปี 63 หรือปี 64 หลังจากที่ชะลอตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมไปในช่วงที่ผ่านมาประสบปัญหากับการขาย และขาดสภาพคล่อง เพราะการพัฒนาต้องใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างและรับรู้รายได้ค่อนข้างนาน ทำให้ผู้ประกอบการจะต้องถือเงินสดไว้ในการเป็นสภาพคล่องค่อนข้างมาก และภาวะตลาดคอนโดมิเนียมขาลง ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของผู้ประกอบการ

บริษัทจึงมองเห็นโอกาสในการเข้าลงทุนคอนโดมิเนียมจากการซื้อมาโครงการที่พัฒนามาแล้วมาบริหารและขายต่อ เพราะไม่มีความเสี่ยงด้านการขอใบอนุญาตวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) และทำให้สามารถขายได้รวดเร็วมากขึ้น โดยบริษัทจะมีการทำแบรนด์ใหม่ขึ้นมาเพื่อขายในยูนิตที่เหลือ ประเมินผลตอบแทนการลงทุนจะมีกำไรขั้นต้นราว 30%

นอกจากนี้ บริษัทยังมองหาการซื้อที่ดินใหม่เพื่อนำมาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมด้วย แต่ปัจจุบันที่ดินทำเลดีในเมืองยังมีราคาค่อนข้างสูง ทำให้มองทางเลือกซื้อคอนโดมิเนียมมาขายต่อเป็นทางเลือกแรก แต่อย่างไรก็ตามบริษัทจะพิจารณาทั้ง 2 ทางเลือกไปพร้อมกัน เพื่อทำให้ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทมีสินค้าครบถ้วน เชื่อว่าจะช่วยผลักดันการเติบโตของบริษัทในระยะต่อไป

ทั้งนี้ บริษัทวางเป้าหมายสัดส่วนรายได้จากคอนโดมิเนียมไว้ที่ 10-20% ภายในปี 65-66 จากปัจจุบันยังมีอยู่น้อยมากจากโครงการ ทริปเปิ้ล วาย เรสซิเด้นซ์

นายแสนผิน กล่าวอีกว่า GOLD ตั้งเป้ารายได้รวมงวดปี 62/63 (1 ต.ค.62-30 ก.ย.63) อยู่ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 11% จากปีก่อนทำได้ 1.71 หมื่นล้านบาท โดยจะมาจากรายได้การพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 1.7 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น ทาวน์โฮม 8.8 พันล้านบาท บ้านเดี่ยว 3 พันล้านบาท บ้านแฝด 3 พันล้านบาท โครงการในต่างจังหวัด 2.2 พันล้านบาท โดย ณ สิ้นเดือน ม.ค. 63 บริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 4.6 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยโอนไปถึงเดือนมี.ค. 63 ที่ 4 พันล้านบาท

ขณะที่ยอดขายในงวดปี 62/63 ตั้งเป้าไว้ที่ 3.3 หมื่นล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อนทำยอดขายได้ 3.2 หมื่นล้านบาท โดยที่บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่ในปี 63 ทั้งหมด 19 โครงการ มูลค่ารวม 2.5 หมื่นล้านบาท เป็นโครงการแนวราบทั้งหมด แบ่งเป็น ทาวน์โฮม 9 โครงการ มูลค่า 1.1 หมื่นล้านบาท โครงการ นีโอ โฮม 6 โครงการ มูลค่า 8.5 พันล้านบาท ต่างจังหวัด 2 โครงการ มูลค่า 3.5 พันล้านบาท และ Big Home บ้านเดี่ยว 1 โครงการ มูลค่า 2 พันล้านบาท

โครงการแรก โกลเด้น ทาวน์ เฉลิมพระเกียรติ-สวนหลวงฯ ได้เปิดขายไปเมื่อวันที่ 1-2 ก.พ.ที่ผ่านมา มียอดขายเกินเป้าหมาย สามารถขายหมดทั้งโครงการ มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท

นายแสนผิน กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทจะรุกเปิดโครงการในตลาดโซนเหนือและโซนตะวันออกมากขึ้น เพราะเป็นโซนที่มีซัพพลายน้อย แต่ยังมีดีมานด์อยู่มาก พร้อมกับวางงบซื้อที่ดิน 8 พันล้านบาท เพื่อซื้อที่ดิน 17 แปลงนำมาพัฒนาโครงการแนวราบ

สำหรับในปี 63 มองปัจจัยต่างๆ อาจยังไม่เอื้อให้กับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังทรงตัว และผลกระทบจากมาตรการ LTV ที่ยังส่งผลต่อลูกค้าที่ซื้อบ้านหลังที่ 2 และ 3 มาตรการเข้มงวดเรื่อง DSR (Debt Service Ratio) หรืออัตราส่วนหนี้สินต่อรายได้ เป็นอัตราส่วนที่แสดงถึงสัดส่วนรายจ่ายในการชำระหนี้ต่อรายได้ของครัวเรือน ทำให้ลูกค้ากู้ได้ยากขึ้น ขณะที่หนี้สินครัวเรือนยังสูงอยู่ และค่าเงินบาทแข็ง ทำให้ลูกค้าต่างชาติชะลอการตัดสินใจซื้อ เป็นต้น แต่ก็ยังมีปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมโอกาสทางธุรกิจ อาทิ อัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ราคาวัสดุก่อสร้างที่มีแนวโน้มคงตัวและลดลง และแรงงานทางธุรกิจก็มีมาก

ด้านกลยุทธ์การพัฒนาโครงการแนวราบของบริษัทใช้รูปแบบ เรียกว่า Classic Model คือจับกลุ่มเป้าหมายที่เป็น Real Demand เป็นกลุ่มที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจริง โดยวางระดับราคาสินค้าแต่ละประเภทให้เหมาะกับกำลังซื้อ กลุ่มทาวน์โฮม 2-5 ล้านบาท นีโอ โฮม 5-8 ล้านบาท BIG HOME บ้านเดี่ยว ระดับราคาที่ 8-15 ล้านบาท และยังต้องบริหารงานก่อสร้างให้สอดคล้องกับสถานะขายและโอน ควบคุมค่าใช้จ่ายการขายและการบริหารให้ลดลง 3% เลือกใช้วัสดุที่ควบคุมต้นทุนได้ หรือสินค้าที่มีแนวโน้มราคาที่ลดลง เช่นสุขภัณฑ์ หรือค่าถมดิน เป็นต้น โดยที่ผ่านมาบ้านโกลเด้นแลนด์ นับได้ว่าเป็นต้นแบบนวัตกรรม ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ในปีนี้บริษัทยังคงเน้นจุดแข็งในเรื่องฟังก์ชั่น และยังเพิ่มเรื่องของการออกแบบทั้งตัวบ้านและส่วนกลาง เพื่อเพิ่มบรรยากาศเพื่อการอยู่อาศัยที่ดีให้มากขึ้นอีกด้วย

ส่วนความคืบหน้าของการที่บมจ.เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) (FPT) จะทำคำเสนอซื้อหุ้นของ GOLD จากผู้ถือหุ้นรายย่อยในส่วนที่เหลืออีก 5% นั่น ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการประเมินราคาหลังบริษัทจ่ายเงินปันผล เพื่อพิจารณาราคาเสนอซื้อหุ้นในส่วนที่เหลือในราคาที่มีความเหมาะสม คาดว่ากระบวนการดังกล่าวจะเสร็จสิ้นไม่เกินเดือนมิ.ย. 63

ปัจจุบันการดำเนินงานต่างๆของ GOLD ยังมีความเป็นอิสระจากการบริหารภายใต้ FPT และแหล่งเงินทุนมาจากแหล่งเงินทุนของบริษัทเองที่นำใมาใช้ไนการลงทุนและพัฒนาโครงการใหม่ จากกระแสเงินสด เงินกู้ยืมสถาบันการเงิน และหุ้นกู้ โดยที่ปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีการออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดอายุในปีนี้ด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ