GCAP ตั้งเป้ากำไรสุทธิปี 63 โต 10-15% หลังใช้เทคโนโลยีช่วยวิเคราะห์สินเชื่อตั้งเป้ายอดปล่อย 1.2 พันลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday February 20, 2020 16:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสเปญ จริงเข้าใจ กรรมการผู้จัดการ บมจ.จีแคปปิตอล (GCAP) กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ากำไรสุทธิปี 63 เติบโต 10-20% โดยปัจจัยหลักจะมาจากการนำเทคโนโลยี AI และ Data Architecture เข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและพิจารณาลูกค้า เช่น การ Cross Selling, การอนุมัติสินเชื่อ, การปรับโครงสร้างหนี้, การแก้ปัญหาพอร์ตที่มีปัญหา ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้บริษัทฯ สามารถควบคุมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) โดยปีนี้ตั้งเป้าไว้ไม่ให้เกิน 4% จากปีก่อนอยู่ที่ 5.6-5.7%

"ที่ผ่านมาเราได้เริ่มใช้ B-score หรือการนำเอาข้อมูลเก่าของลูกค้า มาพัฒนาเป็น AI อีกตัวหนึ่ง และถ้ามีลูกค้าใหม่เข้ามา หรือมีการผ่อนชำระ 6 เดือนขึ้นไป เราจะนำข้อมูลมาอยู่ในนี้เลย ซึ่งมันจะช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์ได้ทันทีว่าลูกค้ารายนี้เป็นหรือไม่เป็น NPL ทำให้เป็นอีกมิติหนึ่งที่เราสามารถรู้ล่วงหน้า และบริหารจัดการ NPL ได้ เพื่อเข้าไปปรับโครงสร้างหนี้ ลดค่าผ่อนลง เพราะหลายๆ ครั้งจะดำเนินการตอนเป็น NPL แล้ว จึงค่อยมาปรับโครงสร้างหนี้ต่างๆ"นายสเปญ กล่าว

ในปีนี้บริษัทวางเป้าปล่อยสินเชื่อ 1,200 ล้านบาท โดยจะมุ่งเน้นไปที่สินเชื่อเช่าซื้อในกลุ่มลูกค้าเกษตรกรเป็นหลัก โดยเฉพาะรถเกี่ยวข้าว ซึ่งเป็นกลุ่ม high yield ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนออกหุ้นกู้วงเงิน 400 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 6-7% จำหน่ายให้กับบุคคลทั่วไป คาดจะออกในเดือนมี.ค.นี้ เพื่อรองรับการปล่อยสินเชื่อดังกล่าว

สำหรับบริษัทร่วมทุน บริษัท สบายใจมันนี่ จำกัด ที่ร่วมกับ บริษัท 9F International Holding PTE. LTD (9F) ซึ่งเป็นบริษัททางการเงินชั้นนำจากประเทศจีน โดยบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 51% และ 9F ถือหุ้น 49% ในปีนี้คาดจะเริ่มปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคล (พีโลน) ได้ในช่วงต้นเดือนมี.ค.63 โดยมีมูลค่าการปล่อยสินเชื่อประมาณ 2 เท่าของ GCAP โดยมีกลุ่มเป้าหมาย 2 กลุ่มหลัก แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้

นอกจากนี้บริษัทฯ คาดว่าผลการดำเนินงานของ สบายใจมันนี่ จะมีกำไรเข้ามาในปีนี้ทันที โดยเบื้องต้นตั้งเป้ายอดปล่อยสินเชื่อพีโลนเติบโตแตะ 1,000 ล้านบาท ในไตรมาส 3/63 และจะมีการบันทึกงบการเงินเข้ามาใน GCAP ในสิ้นปีนี้

นายสเปญ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการเติบโตจากธุรกิจเดิมแล้ว บริษัทยังมองการสร้างธุรกิจใหม่ หรือการเติบโตแบบ In organic ทั้งการเข้าไปร่วมลงทุน (JV), การเข้าซื้อกิจการ (M&A) คาดว่าจะสามารถเห็นความชัดเจนได้ในเร็วๆ นี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ