SPCG ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 6.7 พันลบ.ตามธุรกิจโซลาร์รูฟเติบโตเป็นหลัก มองหาโอกาสลงทุนเพิ่มในไทย-ญี่ปุ่น

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday March 9, 2020 14:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางสาวรุ่งฟ้า ลาภยืนยง ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและงบประมาณ บมจ.เอสพีซีจี (SPCG) กล่าวว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้ปี 63 จะเติบโตแตะ 6,700 ล้านบาท จากปีก่อนที่ทำได้ 5,322.54 ล้านบาท โดยหลักจะมาจากธุรกิจติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (โซลาร์รูฟ) ที่คาดว่าปีนี้จะมีรายได้ราว 2,000 ล้านบาท อีกทั้งในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ยังมีการร่วมลงทุนกับพันธมิตร ได้แก่ Mitsubishi UFJ Lease & Finance Company Limited (MUL) ถือหุ้นในสัดส่วน 35%, บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (PEA ENCOM) ถือหุ้นในสัดส่วน 20% และ KYOCERA Corporation, Japan (KYOCERA) ถือหุ้นในสัดส่วน 10% ขณะที่บริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วน 35% เพื่อพัฒนาโครงการโซลาร์รูฟในประเทศไทย และเน้นรูปแบบไพเวท PPA โดยบริษัทฯ จะดูแลในเรื่องของ EPC และโอปอเรชั่น ดูแลรักษาก่อนและหลังการขาย ซึ่งมองว่าจะช่วยผลักดันให้ธุรกิจโซลาร์รูฟเติบโตดีขึ้น

สำหรับธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งบนพื้นดิน (โซลาร์ฟาร์ม) บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโตไว้ไม่ต่ำกว่าปีก่อน โดยปัจจุบัน SPCG มีโรงไฟฟ้าในประเทศไทยทั้งสิ้น 36 โครงการ กำลังการผลิตรวม 260 เมกะวัตต์ และในประเทศญี่ปุ่นอีก 1 โครงการ กำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์

ส่วนความคืบหน้าภายหลังการเข้าร่วมลงทุนในโครงการ Ukujima Mega Solar Project ขนาดกำลังการผลิต 469 เมกะวัตต์ ที่ประเทศญี่ปุ่น คาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ในเดือนมี.ค.63 และคาดจะจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิย์ (COD) ได้ในเดือนก.ค.66 โดยปีนี้บริษัทฯ คาดจะใช้เงินลงทุนราว 1,000 ล้านบาท (ตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ 17.9%)

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทจะมีโรงไฟฟ้าในไทย 1 โครงการที่จะหมดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในรูปแบบ Adder ที่ราคา 8 บาทต่อเมกะวัตต์ ในระยะเวลา 10 ปี และโครงการที่เหลือก็จะทยอยสิ้นสุดสัญญาจนครบทั้งหมด 36 โครงการในปี 67 ซึ่งบริษัทฯ ได้มีแผนรองรับที่จะลดค่าใช้จ่ายให้ความสามารถในการทำกำไรของโรงไฟฟ้ายังอยู่ในระดับที่ดี ในรูปแบบการซื้อขายไฟฟ้าที่จะถูกปรับมาเป็นระบบ Feed-in Tariff หรือ Fit อัตโนมัติ และบริษัทฯ ก็จะพยายามเร่งหาโครงการเข้ามาสนับสนุนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายกำลังการผลิตโซลาร์ฟาร์มจะเพิ่มขึ้นเป็น 3,000 เมกะวัตต์ภายในปี 80 โดยจะมาจากทั้งการซื้อกิจการ และการลงทุนด้วยตนเอง ซึ่งให้ความสนใจในประเทศญี่ปุ่นและไทยเป็นหลัก เนื่องจากมีความเสี่ยงที่ต่ำ และคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ไว้ไม่ต่ำกว่า 10%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ