(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ฟื้นต่อเนื่องหลังตลาดหุ้นสหรัฐดีดขึ้นแรงขานรับแผนกระตุ้นศก.การเงิน-การคลังหนุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday March 27, 2020 09:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นักวิเคราะห์ฯ คาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้ฟื้นตัวต่อเนื่องขานรับ Sentiment บวกจากตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังตลาดหุ้นสหรัฐดีดตัวขึ้นแรงกว่า 6% เมื่อคืนนี้ ตอบรับวุฒิสภาลงมติผ่านร่างกฎหมายเยียวยาเศรษฐกิจจากผลกระทบไวรัสโควิด-19 วงเงิน 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และเฟดอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบสริมสภาพคล่องก่อนหน้านี้ คาดว่าช่วยภาพรวมได้ แต่เชื้อไวรัสระบาดยังอยู่ในช่วงขาขึ้นทั้งสหรัฐและอิตาลีเป็นปัจจัยจำกัดการปรับขึ้นของตลาด ขณะที่ราคาน้ำมันเริ่มมีเสถียรภาพน่าจะช่วยประคองตลาดได้ มองแนวรับ 1,065-1,070 และแนวต้าน 1,100 ถัดไปที่ 1,130-1,135 จุด

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า การเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยเช้านี้น่าจะฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง จาก Sentiment หุ้นโลกที่ดีมาก โดยตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้กว่า 6% และนับเป็นการปรับขึ้นติดต่อกัน 3 วันทำการ รวมมากกว่า 20% ตอบรับวุฒิสภาลงมติผ่านร่างกฎหมายเยียวยาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากไวรัสโควิด-19 วงเงิน 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนจะส่งต่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาในวันศุกร์นี้ต่อไป

ทั้งนี้ เมื่อรวมกับมาตรการทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย และอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็ทำให้เชื่อว่าจะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมได้อย่างดี แต่อย่างไรก็ตามตลาดยังจับตาสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มองว่ายังเป็นขาขึ้นในสหรัฐและอิตาลี เป็นปัจจัยที่จำกัดการปรับขึ้นของดัชนี ทำให้เมื่อดีดตัวขึ้นก็อาจจะเผชิญกับแรงขายทำกำไรออกมา

ส่วนราคาน้ำมันที่ร่วงลงแรงเมื่อคืนนี้ แต่ดีดกลับาได้ราว 3% ในตลาดฟิวเจอร์สเช้านี้ น่าจะช่วยลดผลกระทบจากการปรับตัวลงแรงเมื่อคืนได้ โดยภาพรวมแม้ราคาน้ำมันจะสวิงตัวในช่วงนี้ แต่มองราคายืนระดับ 20-25 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล น่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้น น่าจะช่วยประคองตลาดได้ ขณะที่การลงทุนของต่างชาติในตลาดหุ้นไทยน่าจะยังคงเป็นทิศทางขายต่อเนื่อง จากการดึงเม็ดเงินกลับประเทศ

พร้อมมองแนวรับ 1,065-1,070 จุด และแนวต้าน 1,100 ถัดไป 1,130-1,135 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (26 มี.ค.63) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,552.17 จุด พุ่งขึ้น 1,351.62 จุด (+6.38%) ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,630.07 จุด เพิ่มขึ้น 154.51 จุด (+6.24%) ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,797.54 จุด เพิ่มขึ้น 413.24 จุด (+5.60%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 357.37 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 28.07 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 416.07 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 71.54 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 69.83 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 58.08 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 7.48 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 92.00 จุด
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (26 มี.ค.63) 1,091.96 จุด เพิ่มขึ้น 11.93 จุด (+1.10%)
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,942.51 ล้านบาท เมื่อวันที่ 26 มี.ค.63
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ค. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (26 มี.ค.63) ปิดที่ 22.60 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 1.89 ดอลลาร์ หรือ 7.7%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (26 มี.ค.) อยู่ที่ -0.52 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 32.50 แข็งค่าจากวานนี้ ขานรับทั่วโลกออกมาตรการเยียวยาผลกระทบโควิด-19
  • "บลจ.ทีเอ็มบี อิสท์สปริง" ประกาศยกเลิก 2 กองทุน "ธนเพิ่มพูน-ธนไพบูลย์" หลังนักลงทุนยังแห่ไถ่ถอนหน่วย ผู้บริหารย้ำสั่งปิดกองทุนเพื่อบริหารเวลาขายสินทรัพย์ในราคาดีที่สุด ป้องกันผู้ลงทุนเสียหายหนัก พร้อมแจงเหตุไม่มีแบงก์รับซื้อหน่วย เพราะสินทรัพย์ส่วนใหญ่ลงทุนต่างประเทศ ไม่เข้าเงื่อนไขแบงก์ชาติ สมาคม บลจ.ยันผลกระทบวงจำกัด ด้าน "นักเศรษฐศาสตร์" เชื่อภาคธุรกิจไถ่ถอนหน่วยเพราะขาดสภาพคล่อง ไม่เกี่ยวเอ็นเอวีติดลบ
  • กกร.ชงรัฐร่วมทำงาน ศอฉ. รับมือสถานการณ์โควิด ป้องกันผลกระทบภาคธุรกิจสำคัญที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต "ไทยเบฟ-มิตรผล-ซีพี" ประกาศร่วมมือแก้วิกฤติ "สหพัฒน์"ยังไม่กระทบขนส่ง พลิกแผนขนส่งสินค้าตรงถึงห้างแทนคลังสินค้า ด้านร้านค้าไอทีรายใหญ่ทั้ง"เจมาร์ท-คอปเปอร์ไวร์ด"รื้อแผนธุรกิจมุ่งช่องทางออนไลน์
  • กกร.เรียกประชุมนัดพิเศษผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยมีผู้บริหารบริษัทเอกชนชั้นนำของประเทศร่วมประชุมพร้อมหน้า พร้อมเรียกร้องรัฐดำเนิน 8 มาตรการเร่งด่วน ให้นายจ้าง-ลูกจ้างดจ่ายประกันสังคม 4 เดือน ให้รัฐเพิ่มเงินช่วยเหลือลูกจ้างจาก 50% เป็น 80% หรือ 1.2 หมื่นบาทต่อเดือน เลื่อนจ่ายค่าน้ำค่าไฟ 4 เดือน ตั้งกองทุนแสนล้านช่วยเอสเอ็มอี โดยให้รัฐรับหนี้เสียแทนแบงก์เอกชน ขณะที่เอกชนประสานพลังยืนยันผลิตสินค้าและบริการให้เพียงพอต่อประชาชนทุกกลุ่ม
  • "ชมรมธุรกิจบัตรเครดิต" ออก 2 มาตรการช่วยลูกหนี้เพิ่มเติม ปรับลดอัตราผ่อนขั้นต่ำ เหลือ 5% จาก 10% ทั้งระบบมีผลอัตโนมัติ 1 เม.ย.นี้ พร้อมลดดอกเบี้ยพิเศษ ช่วยกลุ่มรับผลกระทบโควิด-19 เป็นรายกรณี ต้องลงทะเบียนกับสถาบันการเงินภายใน 30 มิ.ย.นี้ ด้าน "ไทยพาณิชย์" รับพิจารณาลดดอกเบี้ยสินเชื่อรายย่อยทุกกลุ่ม แต่ดูเป็นรายกรณี
  • รมว.คลัง รับสภาพปีนี้จีดีพีโตเท่าไหร่ก็ให้เป็นไปตามสถานการณ์ แจงหากจำเป็นพร้อมออก พ.ร.ก.กู้เงิน ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะต่อไป กกร.ชงรัฐช่วยดูแล 5 กลุ่มอุตสาหกรรมป้องสินค้าขาดแคลน-ระบบสาธารณูปโภค-ขนส่งพร้อมรับมือ

*หุ้นเด่นวันนี้

  • RBF (ฟินันเซีย ไซรัส) แนะ"ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 5.50 บาท มองแนวโน้มกำไร ม.ค.-ก.พ. ดีต่อเนื่อง และเร่งขึ้นในเดือน มี.ค. เพราะลูกค้ารายใหญ่เร่งซื้อของเพราะกลัวขาดวัตถุดิบ ขณะที่โรงงานในอินโดนีเซียเริ่มผลิตแล้ว แต่โรงงานที่เวียดนามยังไม่ได้ผลิต เพราะเดินทางไปไม่ได้ แต่บริษัทส่งออกไปขายได้ปกติเพราะเป็นสินค้าอาหาร อย่างไรก็ตามตลาดอาจกังวลธุรกิจโรงแรมของ RBF แต่มีสัดส่วนเพียง 3% ของรายได้รวม และพยายามจำกัดการขาดทุน โดยเร่งลดต้นทุนและรายจ่าย และไม่ต้องจ่ายค่าบริหารให้ accor เพราะไม่มีรายได้ ซึ่งเชื่อว่าไม่ฉุดกำไรรวมอย่างมีนัยยะ
  • PTT (เคทีบีฯ) แนะ"ซื้อเก็งกำไร" ราคาเชิงกลยุทธ์ 35 บาท เชื่อว่าหากตลาดหุ้นฟื้น PTT ซึ่งเป็นหุ้นหมายเลขหนึ่งของตลาดจะถูกซื้อตามด้วย โดยราคาหุ้น PTT นับว่าแข็งแกร่งกว่าตลาดมาก เนื่องจากเป็นหุ้นใหญ่ ที่ผลการดำเนินงานยังดี ซึ่งปีนี้ กำไรอาจติดลบ แต่ปีหน้าจะกลับมาเหมือนเดิม คือ โตประมาณ 10% ขณะที่ความเสี่ยงขาลงของราคาน้ำมันดิบ มีผลในราคาหุ้นไปแล้ว ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบที่ลดลง จะไปทำให้ spread ของบริษัทลูกที่ทำปิโตรเคมีดีขึ้น หาก demand ไม่ชะลอตัว
  • CPF (เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ) แนะ"ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 35.80 บาท มองราคาเนื้อสัตว์ที่เพิ่มขึ้นสามารถชดเชยความต้องการซื้อที่ลดลงจากกลุ่มร้านอาหารในช่วงการระบาดของโควิด-19 ขณะที่การผลิตและการดำเนินงานของบริษัทยังคงเป็นไปตามปกติ ราคาหมูที่เวียดนามยังทรงตัวสูงซึ่งจะเป็นปัจจัยผลักดันการเติบโตของ CPF ในปีนี้ ส่วนการซื้อหุ้น 20% ในเทสโก้ฯ ยังอยู่ระหว่างรอการพิจารณาของ สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า และ Ministry of Domestic Trade and Consumers Affairs of Malaysia ซึ่งคาดว่าจะเสร็จใน 2H63 โดยจะทำให้ CPF ขายสินค้าในเทสโก้ฯ มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอาหารสด ด้านเงินลงทุน 1.5 พันล้านเหรียญฯ หรือ 47,991 ล้านบาท ยังคงคาดว่าจะมาจากกระแสเงินสดและการกู้ยืม

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ