ทริสฯ ยกเลิก"เครดิตพินิจ" แนวโน้ม "Negative" ของ THANI พร้อมคงเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ ที่ "A-" แนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday April 10, 2020 16:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้ง ยกเลิก "เครดิตพินิจ" แนวโน้ม "Negative" หรือ "ลบ" ที่ให้ไว้แก่อันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ของบมจ.ราชธานีลิสซิ่ง (THANI) พร้อมกันนี้ ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ "A-" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สำหรับอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันนั้นมีอันดับเครดิตเท่ากับอันดับเครดิตองค์กร การยกเลิกเครดิตพินิจและคงอันดับเครดิตดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องมาจากธุรกรรมการควบรวมกิจการระหว่าง ธนาคารทหารไทย (TMB) และ ธนาคารธนชาต (TBANK) ได้เสร็จสิ้นลง ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท

อันดับเครดิตของบริษัทได้รับการยกระดับเพิ่มขึ้นจากสถานะอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทตามเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจของทริสเรทติ้ง โดยทริสเรทติ้งมีมุมมองว่าบริษัทมีสถานะเป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของ บมจ.ทุนธนชาต (TCAP) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วยสัดส่วน 57.5% ณ เดือนมีนาคม 2563 โดย TCAP ได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ "A/Stable" โดยทริสเรทติ้ง บริษัทเป็นหนึ่งในบริษัทหลักที่สร้างรายได้และกระแสเงินสดแก่ TCAP ซึ่งทริสเรทติ้งมีมุมมองว่ามีแนวโน้มค่อนข้างสูงที่ TCAP จะยังคงรักษาสถานะการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในระยะยาว

อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทยังคงสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในตลาดสินเชื่อเช่าซื้อที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ ได้แก่ รถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์และรถยนต์หรู (Luxury Car) อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงผลประกอบการทางการเงินและคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทที่ปรับดีขึ้น แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่การเติบโตของสินเชื่อจะลดลง ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะทางการตลาดในอีก 2-3 ปีข้างหน้าไว้ได้แม้ปริมาณธุรกิจจะชะลอตัวลงซึ่งเป็นไปตามภาวะอุตสาหกรรมโดยรวม

ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทจะถดถอยลงในระดับปานกลางด้วยอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5%-6% จากปัจจุบันที่ 4% อันเนื่องมาจากผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการระบาดของโควิด-19 (COVID-19) อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งประเมินว่าคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนแอลงจะไม่กระทบต่อสถานะความเสี่ยงโดยรวมของบริษัทซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนโยบายด้านเครดิตที่เข้มงวด การปรับปรุงและพัฒนากระบวนการจัดเก็บหนี้ และการมีสำรองหนี้สูญในระดับที่เพียงพอ

ฐานทุนของบริษัทซึ่งประเมินโดยอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงอยู่ในระดับที่เข้มแข็ง อัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงของบริษัทอยู่ที่ 15.2% ณ สิ้นปี 2562 ทริสเรทติ้งคาดการณ์อัตราส่วนดังกล่าวในระยะ 3 ปีข้างหน้า (2563-2565) อยู่ในระดับเฉลี่ยที่ 17.2% และเมื่อผนวกกับความสามารถในการสร้างรายได้ซึ่งทริสเรทติ้งมีมุมมองว่าอยู่ในระดับปานกลางแล้ว ระดับ ทุน การก่อหนี้และกำไรของบริษัทอยู่ในระดับที่เพียงพอ ทริสเรทติ้งใช้อัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ยและอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยในการประเมินศักยภาพในการสร้างรายได้และกำไรของบริษัท

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะรักษาระดับผลการดำเนินงานในระยะ 3 ปีข้างหน้า (2563-2565) ด้วยอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ยที่ 4.2% และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยที่ 3.3% ความสามารถในการสร้างกำไรของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกำไรสุทธิรวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 20% เป็น 1.96 พันล้านบาท ในปี 2562 โดยเป็นผลจากค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองที่ลดลงเนื่องจากการกลับรายการสำรองหนี้สูญเพื่อรองรับการใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงิน TFRS9 ในปี 2563

ความกังวลของทริสเรทติ้งต่อความเสี่ยงด้านสภาพคล่องและการกู้ยืมใหม่เพื่อชำระหนี้เดิมอันเป็นผลสืบเนื่องจากความเกรงกลัวต่อความเสี่ยงในตลาดตราสารหนี้ได้รับการบรรเทาลงจากความสามารถของบริษัทในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่หลากหลาย รวมถึงวงเงินกู้ยืมที่ได้รับจากสถาบันการเงินต่าง ๆ ซึ่งเพิ่มเติมจากวงเงินที่ได้รับอย่างต่อเนื่องจาก TBANK ที่เป็นผู้ถือหุ้นเดิม

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในกลุ่มตลาดเป้าหมายที่มีความเชี่ยวชาญและความสามารถในการสร้างรายได้และกำไรไว้ได้ แนวโน้มอันดับเครดิตยังอยู่บนการคาดการณ์ว่าบริษัทจะดำรงคุณภาพสินทรัพย์ไว้ได้แม้ว่าสภาพแวดล้อมทางด้านเครดิตจะอ่อนแอ

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากคุณภาพเครดิตเฉพาะของบริษัทปรับดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ฐานทุนแข็งแกร่งมากขึ้น ด้วยอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเหนือกว่าระดับ 25% และอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ยมากกว่า 6% อย่างมีเสถียรภาพในระยะเวลาหนึ่ง อันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากสถานะทุนของบริษัทอ่อนแอลงด้วยอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงลดลงต่ำกว่า 15% ในช่วงระยะเวลาหนึ่งอย่างต่อเนื่อง หรือคุณภาพสินทรัพย์เสื่อมถอยลงอย่างมีนัยสำคัญจนกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรและทุนของบริษัท

กรณีที่ไม่มีการปรับเพิ่มขึ้นของอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทเอง อันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นหากทริสเรทติ้งเชื่อว่าความสำคัญของบริษัทต่อ TCAP ได้รับการปรับเพิ่มในระดับที่สูงขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ