ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร SST ที่ BBB- แต่เปลี่ยนแนวโน้มเป็น Negative จากเดิม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday April 21, 2020 10:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ทรัพย์ศรีไทย (SST) ที่ระดับ "BBB-" ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น "Negative" หรือ "ลบ" จากเดิม "Stable" หรือ "คงที่" ด้วย โดยแนวโน้มอันดับเครดิต "Negative" สะท้อนการคาดการณ์ผลการดำเนินงานในธุรกิจร้านอาหารของบริษัทที่อ่อนตัวลงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 และความเสี่ยงที่การแพร่ระบาดจะมีผลกระทบต่อบริษัทในระดับที่รุนแรงมากกว่าประมาณการของทริสเรทติ้ง

นอกจากนี้ แนวโน้มอันดับเครดิต "Negative" ยังสะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าระดับหนี้สินของบริษัทจะเพิ่มขึ้นอันเป็นผลมาจากการขยายธุรกิจในต่างประเทศและผลการดำเนินงานที่อ่อนตัวกว่าที่คาดจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจร้านอาหารอีกด้วย ในขณะเดียวกันอันดับเครดิตยังคงสะท้อนสถานะทางการตลาดของบริษัทในธุรกิจร้านอาหารและร้านอาหารบริการด่วน รวมถึงประวัติผลงานที่ยาวนานในธุรกิจคลังสินค้าและคลังเอกสารของบริษัทด้วยเช่นกัน

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะกระทบธุรกิจร้านอาหารของบริษัทในปี 2563 อย่างหนัก การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการดำเนินธุรกิจของภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ภายในประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมร้านอาหาร ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาภาครัฐได้ออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโดยรณรงค์ให้มีการเว้นระยะห่างทางสังคมซึ่งนำไปสู่มาตรการปิดเมืองโดยมีการจำกัดการเดินทาง การให้ทำงานจากบ้าน หรือการอยู่บ้านเพื่อหยุดเชื้อ รวมไปถึงการให้กิจการร้านค้าและศูนย์การค้าส่วนใหญ่หยุดให้บริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านอาหารแบบรับประทานที่ร้าน ทำให้บริษัทต้องปิดร้านอาหารบริการด่วนบางสาขาและร้านอาหารแบบนั่งรับประทานที่ร้านทุกสาขาเป็นระยะเวลานานเท่าที่ภาครัฐกำหนด อย่างไรก็ตาม บริษัทได้มุ่งเน้นบริการอาหารแบบสั่งกลับบ้านและการส่งอาหารมากยิ่งขึ้นเพื่อรองรับความต้องการรับประทานอาหารที่บ้านที่สูงขึ้นในช่วงที่มีมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้จากธุรกิจร้านอาหารลดลงอย่างมากโดยจะอยู่ที่ 2.2 พันล้านบาทในปี 2563 ซึ่งคิดเป็นการลดลงที่ประมาณ 30% จากปีก่อน โดยคาดว่าบริษัทจะมีรายได้ลดลง 50%-70% ในช่วงที่มีคำสั่งปิดเมืองและจะลดลง 10%-30% หลังจากช่วงดังกล่าวโดยอยู่ภายใต้สมมุติฐานที่การแพร่ระบาดควบคุมได้ภายในช่วงกลางปี 2563 และหลังจากนั้น

ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากธุรกิจร้านอาหารจะทยอยฟื้นตัวขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 3.3-3.5 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2565 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถลดต้นทุนคงที่ในธุรกิจร้านอาหารลงได้ประมาณ 30% ในช่วงที่มีคำสั่งปิดเมืองเนื่องจากบริษัทมีความพยายามในการลดต้นทุนอยู่แล้ว เช่น ลดค่าจ้างพนักงานและเจรจากับผู้ให้เช่าอาคารเพื่อลดค่าเช่าลง ทั้งนี้

ทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจร้านอาหารของบริษัทจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายลดลงไปอยู่ที่ประมาณ 180 ล้านบาทในปี 2563 จาก 550 ล้านบาทในปีก่อน และจะฟื้นตัวขึ้นไปที่ 530-560 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2565

ธุรกิจคลังสินค้าและคลังเอกสารสร้างกำไรที่สม่ำเสมอ บริษัทมีประวัติผลงานที่ยาวนานและมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจคลังสินค้า ท่าเทียบเรือ และคลังเอกสาร โดยธุรกิจในส่วนดังกล่าวสร้างรายได้และกำไรที่ค่อนข้างสม่ำเสมอให้แก่บริษัทโดยคิดเป็น 12% ของรายได้รวมและ 30% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายรวมที่ปรับปรุงแล้วของกลุ่มในปี 2562

บริษัทมีรายได้จากธุรกิจคลังสินค้าและคลังเอกสารเติบโต 1% โดยอยู่ที่ประมาณ 400 ล้านบาทในปี 2562 อัตรากำไรของธุรกิจคลังสินค้าและท่าเทียบเรือยังคงแข็งแกร่ง โดยกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 220 ล้านบาทหรือคิดเป็นอัตรากำไรที่ระดับ 55% ในปีเดียวกัน ภายใต้การประมาณการกรณีฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากธุรกิจคลังสินค้าของบริษัทจะคงที่อยู่ที่ประมาณ 400 ล้านบาทในปี 2563 และจะเติบโตขึ้นปีละ 1%-2% ต่อปีในปี 2564-2565 และอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 50% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

แบรนด์ร้านอาหารและร้านอาหารบริการด่วนที่เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี สถานะทางการตลาดของบริษัทมาจากการที่บริษัทมีแบรนด์ร้านอาหารซึ่งเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีและมีสาขาครอบคลุมพื้นที่ในระดับปานกลาง บริษัทมีแบรนด์ร้านอาหารแบบแฟรนไชส์จำนวน 3 แบรนด์ ได้แก่ "ดังกิ้น โดนัท" "โอ บอง แปง" และ "บาสกิ้น รอบบิ้นส์" อีกทั้งยังมีร้านอาหารภายใต้แบรนด์ของตนเองคือ "เกรฮาวด์ คาเฟ่"

นอกจากนี้ บริษัทยังดำเนินกิจการร้านอาหาร "เกรฮาวด์ คาเฟ่" 1 แห่งในกรุงลอนดอนและดำเนินกิจการร้านอาหารฝรั่งเศสอีก 1 แห่งในกรุงปารีสชื่อ "Le Grand Vefour" ซึ่งเป็นร้านที่ได้รับรางวัลดาวมิชลิน 2 ดวงอีกด้วย

ทั้งนี้ เกรฮาวด์ คาเฟ่ สร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายคิดเป็น 29% ให้แก่บริษัท ในขณะที่ร้านอาหารแบบแฟรนไชส์ภายใต้แบรนด์ทั้งสามรวมกันคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 43% ของทั้งบริษัทในปี 2562 บริษัทมีสาขาร้านอาหารประกอบไปด้วย ร้านดังกิ้น โดนัท จำนวน 281 สาขา ร้านโอ บอง แปง จำนวน 78 สาขา ร้านบาสกิ้น รอบบิ้นส์ จำนวน 29 สาขา และร้านเกรฮาวด์ คาเฟ่ จำนวน 25 สาขา ณ สิ้นปี 2562

ฐานรายได้มีขนาดเล็กและอัตรากำไรค่อนข้างต่ำ ธุรกิจร้านอาหารของบริษัทมีฐานรายได้ที่มีขนาดเล็กและมีอัตรากำไรที่ค่อนข้างต่ำกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่ง โดยในปี 2562 บริษัทมีรายได้ 3 พันล้านบาทและมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 550 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ระดับ 18% ในขณะที่ยอดขายในสาขาเดิมของแต่ละแบรนด์ร้านอาหารลดลง 6%-10% ในปี 2562 จากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจร้านอาหารและเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในประเทศไทย

ทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจร้านอาหารจะเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงต่อไปและการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะยิ่งทำให้ผลการดำเนินงานอ่อนตัวลงไปอีก ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดขายในสาขาเดิมของแต่ละแบรนด์ร้านอาหารจะลดลดง 25%-35% ในปี 2563 และจะทยอยฟื้นตัวกลับไปอยู่ที่ระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนการแพร่ระบาดอีกครั้งในปี 2565 ทริสเรทติ้งคาดว่าการแข่งขันที่รุนแรงจะยังคงกดดันอัตรากำไรของบริษัทในช่วงปี 2564-2565 ต่อไปเนื่องจากผู้ประกอบการร้านอาหารอาจจำเป็นจะต้องจัดกิจกรรมทางการตลาดและจัดรายการส่งเสริมการขายเพื่อให้สามารถแข่งขันได้

มองหาโอกาสเพื่อขยายธุรกิจไปในต่างประเทศ ช่วงปลายปี 2560 บริษัทได้ซื้อกิจการร้านอาหาร Le Grand Vefour ในกรุงปารีสซึ่งเป็นร้านอาหารฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงและได้รับรางวัลดาวมิชลิน 2 ดวงเพื่อขยายกิจการในระดับสากล และในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน บริษัทยังได้เปิดร้านเกรฮาวด์ คาเฟ่ ซึ่งเป็นร้านที่บริษัทบริหารเองแห่งแรกในต่างประเทศที่กรุงลอนดอนด้วย ร้าน Le Grand Vefour มีการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยนับตั้งแต่บริษัทเข้าซื้อกิจการโดยมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายปรับตัวขึ้นมาเป็นบวกเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานของร้านเกรฮาวด์ คาเฟ่ ลอนดอน ต่ำกว่าที่คาดโดยมีรายได้ในปี 2562 ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน

บริษัทมีเป้าหมายจะขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศในตลาดที่บริษัทเห็นว่ามีศักยภาพในการเติบโตที่ดี บริษัทยังร่วมมือกับ Mr. Guy Martin ซึ่งเป็นหัวหน้าเชฟของร้าน Le Grand Vefour เพื่อวางแผนจะขยายสาขาร้านอาหารในประเทศฝรั่งเศสเพิ่มเติมอีกหลายแห่งในช่วงปี 2563-2564 อีกด้วยแม้ว่าจะมีสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสอยู่ในปัจจุบันก็ตาม โดยบริษัทวางแผนจะเพิ่มร้านอาหารในประเทศฝรั่งเศสปีละประมาณ 5 แห่ง

ในการนี้ ทริสเรทติ้งมองว่าการขยายธุรกิจในต่างประเทศจะเพิ่มความไม่แน่นอนให้แก่สถานะทางธุรกิจของบริษัทมากยิ่งขึ้นเนื่องจากสภาพแวดล้อมการแข่งขันของธุรกิจร้านอาหารในแต่ละประเทศนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก ในขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ยิ่งเพิ่มความท้าทายให้มีมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากการขยายธุรกิจในต่างประเทศประสบความสำเร็จก็จะส่งผลให้บริษัทมีแหล่งรายได้ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นและมีโอกาสในการเติบโตที่สูงขึ้น

การลงทุนในธุรกิจใหม่ล่าช้ากว่าคาด บริษัทอยู่ในระหว่างการเข้าไปลงทุนในโครงการโรงแรมซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางเมืองภูเก็ต โครงการดังกล่าวประกอบไปด้วยโรงแรมขนาด 62 ห้อง 1 แห่งและร้านอาหาร 1 ร้าน ต้นทุนในการก่อสร้างคาดว่าจะอยู่ที่ 280 ล้านบาทซึ่งแหล่งเงินทุนจะมาจากการกู้ยืม โครงการดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2563 แต่กลับล้าช้ากว่ากำหนดเนื่องจากมีการแก้ไขแบบทางสถาปัตยกรรม อย่างไรก็ตาม ได้มีการแก้ไขตารางเวลาในการก่อสร้างโดยร้านอาหารและโรงแรมในส่วนแรกจำนวนประมาณ 22 ห้องจะสร้างแล้วเสร็จภายในปลายปี 2564

ระดับหนี้สินจะเพิ่มสูงขึ้น ทริสเรทติ้งคาดว่าระดับหนี้สินของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นจากผลการดำเนินงานที่อ่อนตัวในปี 2563 และการลงทุนขยายธุรกิจในประเทศฝรั่งเศส บริษัทมีแผนจะลงทุนในการขยายธุรกิจในต่างประเทศต่อไปในขณะที่หยุดการลงทุนในส่วนอื่น ๆ ไปก่อน ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะลงทุนเป็นเงินจำนวนประมาณ 330-360 ล้านบาทต่อปีในปี 2563-2564 และลดลงไปอยู่ที่ประมาณ 210 ล้านบาทในปี 2565

ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 8.4 เท่าในปี 2563 จาก 3.7 เท่าในปี 2562 ภายใต้สมมุติฐานที่การแพร่ระบาดของไวรัสจะสามารถควบคุมได้ภายในช่วงกลางปี 2563 และคาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะปรับลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 4.7 เท่าในปีต่อ ๆ มาซึ่งสะท้อนผลการดำเนินงานของบริษัทที่ค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับไปอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนการแพร่ระบาด ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนนั้นทริสเรทติ้งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 54%-57% ในปี 2563-2565 จากระดับ 47% ในปี 2562

หุ้นกู้ของบริษัทมีข้อกำหนดให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนที่ไม่เกินกว่า 3 เท่าโดย ณ เดือนธันวาคม 2562 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.43 เท่า นอกจากนี้ เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารของบริษัทยังมีเงื่อนไขให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อทุนไม่ให้เกิน 2.5 เท่าด้วย โดย ณ เดือนธันวาคม 2562 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.72 เท่า ทริสเรทติ้งพิจารณาว่าบริษัทมีส่วนเผื่อพอสมควรที่จะสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินของหุ้นกู้และเงินกู้ยืมระยะยาวดังกล่าวได้

สภาพคล่องตึงตัวและความเสี่ยงในการหาเงินทุนทดแทนเพิ่มสูงขึ้น ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะเผชิญกับปัญหาสภาพคล่องที่ตึงตัวในระยะใกล้นี้จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยจะปรากฏให้เห็นจากความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นในการหาเงินทุนทดแทนหนี้สินที่จะครบกำหนดชำระ ทั้งนี้ บริษัทมีหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในปี 2563 ประกอบด้วยหุ้นกู้จำนวน 600 ล้านบาท เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารจำนวน 66 ล้านบาท และเงินกู้ยืมระยะสั้นจากธนาคารอีกจำนวนประมาณ 200 ล้านบาท ในขณะที่แหล่งสภาพคล่องของบริษัทประกอบไปด้วยเงินสดประมาณ 160 ล้านบาทและวงเงินหมุนเวียนจากสถาบันการเงินที่เบิกใช้ได้อีกประมาณ 300 ล้านบาท

ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทมีความเสี่ยงสูงขึ้นในการหาเงินทุนมาทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระในเดือนกันยายน 2563 จำนวน 600 ล้านบาทเนื่องจากสภาวะความไม่แน่นอนในตลาดตราสารหนี้ในปัจจุบัน บริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้ใหม่ล่วงหน้าเพื่อจ่ายชำระหนี้หุ้นกู้เดิมและอยู่ระหว่างการเจรจากับสถาบันการเงินเพื่อขอวงเงินสำรองสำหรับทดแทนหุ้นกู้ที่จะถึงกำหนดชำระ

ทริสเรทติ้งประเมินว่าหากเงินกู้ยืมระยะสั้นจากธนาคารสามารถต่ออายุออกไปได้ แหล่งสภาพคล่องของบริษัทจะสามารถรองรับขาดทุนจากการดำเนินงานในธุรกิจร้านอาหารได้นานประมาณ 5 เดือนในช่วงที่มีการปิดเมืองเนื่องจากบริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลงได้บางส่วนในช่วงดังกล่าว

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

รายได้ของบริษัทจะปรับตัวลดลงประมาณ 25% ในปี 2563 และจะทยอยฟื้นตัวในปี 2564-2565 โดยจะกลับไปอยู่ที่ระดับใกล้เคียงกับในช่วงก่อนการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ประมาณ 55%-56%

อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะลดลงไปอยู่ที่ระดับ 15% ในปี 2563 และจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 19%-20% ในปี 2564-2565

เงินลงทุนรวมจะอยู่ที่ประมาณ 330-360 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2564 และประมาณ 210 ล้านบาทในปี 2565

แนวโน้มอันดับเครดิต "Negative" หรือ "ลบ" สะท้อนการคาดการณ์ผลการดำเนินงานของบริษัทที่อ่อนตัวลงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และระดับหนี้สินที่จะเพิ่มสูงขึ้นจากการขยายธุรกิจในต่างประเทศของบริษัท

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนตัวลงกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยืดเยื้อออกไปหรือการฟื้นตัวของบริษัทจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ใช้เวลานานกว่าที่คาด อันดับเครดิตอาจปรับลดลงได้เช่นกันหากบริษัทมีการลงทุนเป็นจำนวนมากโดยใช้แหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมหรือหากผลการดำเนินงานของธุรกิจใหม่ที่ขยายไปในต่างประเทศต่ำกว่าที่คาดไว้เป็นอย่างมาก ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับเป็น "Stable" หรือ "คงที่" หากผลการดำเนินงานของบริษัทแสดงให้เห็นถึงสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนจนทำให้ระดับหนี้สินปรับตัวดีขึ้นกว่าเดิมหรือใกล้เคียงกับประมาณการของทริสเรทติ้ง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ