TPBI เล็งปรับเป้ารายได้ปี 63 หลังต้นทุนวัตถุดิบลดกระทบราคาขาย แต่เชื่อปีนี้พลิกเป็นกำไรจากคาดฟื้นต่อเนื่องตั้งแต่ Q2/63

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday May 13, 2020 12:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมศักดิ์ บริสุทธนะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทีพีบีไอ (TPBI) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมทบทวยนเป้าหมายรายได้ในปี 63 อีกครั้งในช่วงสิ้นไตรมาส 2/63 หลังจากที่โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อราคาต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตบรรจุภัณฑ์ลดลง โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงมามาก ทำให้กลุ่มบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากเม็ดพลาสติกจะต้องปรับราคาลงให้สอดคล้องกับราคาต้นทุน ส่งผลให้รายได้ของบริษัทในปีนี้อาจจะต้องปรับลดลงมาจากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 6 พันล้านบาท

ขณะที่แนวโน้มยอดออเดอร์บรรจุภัณฑ์ที่ได้รับจากลูกค้าตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2/63 ถือว่าเริ่มทยอยกลับมาหลังจากมีการทยอยประกาศผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในหลายๆประเทศ ทำให้โรงงานผลิตต่างๆ และภาคธุรกิจต่างๆเริ่มกลับมาดำเนินกิจการตามปกติได้ ทำให้มีการสั่งซื้อบรรจุภัณฑ์เข้ามาอีกครั้ง และบริษัทสามารถเริ่มทยอยส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าในต่างประเทศได้ หลังจากมีการหยุดชะงักชั่วคราวไปในไตรมาส 1/63

สำหรับออเดอร์ของกลุ่มบรรจุภัณฑ์ประเภท Consumable ขณะนี้มียอดออเดอร์ล่วงหน้าเข้ามาเต็มจนถึงไตรมาส 3/63 ซึ่งยอดออเดอร์ของสินค้ากลุ่มนี้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 5-10% จากช่วงไตรมาส 1/63 ซึ่งถือว่าเป็นสินค้าที่ลูกค้านิยมใช้และให้กับตอบรับเป็นอย่างดี อีกทั้งเป็นสินค้าที่ช่วยผลักดันผลการดำเนินงานของบริษัทในภาพรวมได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้บริษัทอยู่ระหว่างการวางแผนเพิ่มกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์ Consumable ซึ่งคาดว่าจะมีแผนงานและงบลงทุนชัดเจนในไตรมาส 3/63

ส่วนกลุ่มบรรจุภัณฑ์กลุ่ม Multi-layer film ยอดออเดอร์ในช่วงไตรมาส 2/63 ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 3/63 จากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ของภาคการผลิตที่กลับมา ส่วนบรรจุภัณฑ์ประเภท Flexible Packaging ลูกค้าเริ่มกลับมาทยอยออเดอร์อีกครั้ง แต่บริษัทอาจจะต้องยังมีการปรับราคาขายลดลงเพื่อให้สอดคล้องกับราคาต้นทุนการผลิตที่ลดลง ซึ่งทำให้ต้องประเมินราคาขายกับลูกค้าใหม่ให้สอดคล้องกับต้นทุนในปัจจุบัน และถุงกระดาษที่ขายในอังกฤษยังมีออเดอร์ทรงๆ เพราะอังกฤษยังมีล็อกดาวน์ประเทศอยู่

ดังนั้น บริษัทจึงมั่นใจว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 2/63 เป็นต้นไป หลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายในหลายๆ ประเทศ และเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์จนเริ่มกลับสู่ภสวะปกติ และจากยอดออเดอร์ล่วงหน้าที่เข้ามา แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากการปรับลดราคาขายในบางสินค้าตามราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงก็ตาม ทำให้รายได้อาจจะไม่เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ แต่มั่นใจว่าว่าในปีนี้บริษัทสามารถกลับมามีกำไรได้ หลังจากที่ขาดทุนในปี 61-62

นอกจากนี้โควิด-19 ยังส่งผลบวกต่อค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ซึ่งบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศที่มากถึง 65% ทำให้ได้รับผลบวกของการอ่อนค่าของค่าเงินบาทลลง ประกอบกับการเติบโตในตลาดต่างประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในใหญ่ๆ เช่น สหรัฐฯที่มีสัดส่วนยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 17% เป็น 23% ในช่วงไตรมาส 1/63 ออสเตรเลียเพิ่มขึ้นจาก 12% เป็น 16% และญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นจาก 6% เป็น 7% และประเทศอื่นๆในเอเชียเพิ่มขึ้นจาก 3% เป็น 7% ซึ่งส่งผลบวกต่อยอดขายของบริษัทในทิศทางที่ดี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ