ดัชนีกลุ่มแบงก์ร่วง 3.02% มาอยู่ที่ 333.38 จุด ลดลง 10.39 จุด เมื่อเวลา 14.47 น. โดยราคาหุ้นในกลุ่มแบงก์ร่วงยกแผง นำโดยหุ้น KBANK ร่วง 4.29% มาอยู่ที่ 111.50 บาท ลดลง 5.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,352.47 ล้านบาท
หุ้น KTB ลบ 3.33% มาอยู่ที่ 11.60 บาท ลดลง 0.40 บาท มูลค่าซื้อขาย 498.94 ล้านบาท
หุ้น BAY ลบ 3.74% มาอยู่ที่ 25.75 บาท ลดลง 1.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 5.89 ล้านบาท
หุ้น SCB ลบ 2.80% มาอยู่ที่ 86.75 บาท ลดลง 2.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,472.87 ล้านบาท
หุ้น BBL ลบ 2.38% มาอยุ่ที่ 123.00 บาท ลดลง 3.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,013.45 ล้านบาท
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้นในกลุ่มแบงก์ในช่วงบ่ายนี้ปรับตัวลง คาดว่าจะขายทำกำไรออกมาบ้างหลังจากที่ได้ฟื้นตัวไปในช่วงก่อนหน้านี้ อีกทั้งการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกมาชี้ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยที่จะยังทรงตัวในระดับต่ำต่อไปถึงปี 65 ทำให้ไม่เป็นผลดีต่อกลุ่มแบงก์ ขณะเดียวกับยังได้รับแรงกดดันจากเงินบาทแข็งค่าด้วยทำให้ yield ต่ำ
นอกจากนี้ยังรับแรงกดดันจากการตั้งสำรองฯที่อาจจะเพิ่มขึ้นจากปัญหาของบมจ.การบินไทย (THAI) ดังนั้น ในช่วงนี้จึงยังไม่แนะนำให้เข้าลงทุนหุ้นในกลุ่มแบงก์
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) เปิดเผยว่า กรณีของบมจ.การบินไทย (THAI) ที่เข้าสู่กระบวนการแผนฟื้นฟู ส่งผลให้ธนาคารจะต้องทยอยตั้งสำรองฯหนี้ของ THAI ซึ่งเป็นลูกหนี้ของธนาคาร ตามงบการเงินของ THAI ที่มีมูลหนี้กับธนาคารราว 6 พันล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้ธนาคารได้มีการตั้งรองฯหนี้ของ THAI ไปบ้างเล็กน้อยแล้ว และหลังจาก THAI เข้าแผนฟื้นฟูแล้ว ทำให้ธนาคารต้องทยอยตั้งสำรองฯหนี้ของ THAI ให้ครบทั้งหมดในไตรมาส 2/63