SPALI คาดยอดขาย H1/63 เกิน 1 หมื่นลบ. พร้อมจับตาอสังหาฯ H2 ก่อนตัดสินใจเปิด 3 คอนโดฯใหม่

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday June 23, 2020 18:19 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ศุภาลัย (SPALI) เปิดเผยว่า แนวโน้มยอดขายช่วงครึ่งแรกปีนี้ทำได้เกิน 1 หมื่นล้านบาท โดยยอดขายช่วงไตรมาส 2/63 คาดว่าจะทำได้ใกล้เคียงกับไตรมาสแรกที่กว่า 5.7 พันล้านบาท แม้ว่าเดือนเม.ย.ที่ผ่านมาจะได้รับผลกระทบจากการใช้มาตรการล็อกดาวน์ของภาครัฐ เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ในช่วงกลางเดือนพ.ค.เป็นต้นมาที่เริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้ลูกค้าที่สนใจซื้อที่อยู่อาศัยเริ่มเข้าชมโครงการและจองซื้อเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อการขายที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะการขายโครงการแนวราบ

อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องลุ้นในช่วงครึ่งปีหลังว่าสถานการณ์ของตลาดอสังหาริมทรัพย์จะยังคงฟื้นตัวต่อเนื่องหรือไม่ เพราะยังมีความไม่แน่นอนจากการกลับมาระบาดของโควิด-19 ที่อาจเกิดขึ้นได้ แม้ว่าปัจจุบันการแพร่ระบาดภายในประเทศไม่มีมาต่อเนื่องเป็นระยะเวลาเกือบ 1 เดือนแล้วก็ตาม ประกอบกับสถานการณ์ของตลาดคอนโดมิเนียมยังชะลอตัวอยู่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการต่าง ๆ ชะลอการเปิดโครงการออกไป รวมถึงบริษัทที่อยู่ระหว่างประเมินสถานการณ์ เพราะยังมีอีก 3 โครงการคอนโดมิเนียม มูลค่ารวม 6.6 พันล้านบาท ที่เตรียมจะเปิดในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งหากตัดสินใจเลื่อนเปิดทั้ง 3 โครงการ ก็อาจจะกระทบต่อเป้ายอดขายในปีนี้ราว 2-3 พันล้านบาท จากที่ตั้งเป้าหมายไว้ 2.6 หมื่นล้านบาท

"ยังมองว่าปีนี้และปีหน้าตลาดคอนโดฯจะยังเป็นช่วงพักฐาน ซึ่งเห็นจากผู้ประกอบการหลายรายในตลาด โดยเฉพาะ Top10 ในตลาดที่เลื่อนการเปิดคอนโดฯออกไป อีกทั้งความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบที่ตอนนี้ถือว่าคึกคักมาก ทำให้การซื้อคอนโดฯซา ๆ ลงไป ซึ่งเราก็ประเมินสถานการณ์ก่อน หากมองว่ายังไม่ใช่จังหวะเวลาที่ดีในการเปิดคอนโดฯอีก 3 โครงการที่เหลือก็อาจจะเลื่อนเปิดไปปีหน้าได้"นายไตรเตชะ กล่าว

นายไตรเตชะ กล่าวว่า สำหรับรายได้ปีนี้ยังมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้า 2.4 หมื่นล้านบาท หลังยังมีการโอนโครงการต่อเนื่อง แม้ว่าจะชะลอไปบ้างในช่วงล็อกดาวน์ แต่ปัจจุบันเริ่มกลับมาโอนได้มากขึ้น โดยเฉพาะการโอนโครงการแนวราบ และคอนโดมิเนียมพร้อมโอนที่ลูกค้าซื้อและโอนทันที และยังมีปัจจัยหนุนจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ทำให้ลูกค้าหันมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ และแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้น ทำให้เป็นโอกาสในการขายและการโอนโครงการ ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะโอนโครงการที่สร้างเสร็จใหม่และรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เข้ามาเสริมอีกกว่า 9 พันล้านบาท จาก Backlog ที่มีอยู่เกือบ 4 หมื่นล้านบาท

"ลูกค้าของศุภาลัยที่โอนยังไม่เห็นสัญญาณการปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้น จะมีแค่บางกลุ่มอาชีพที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่อาจจะขอชะลอการโอนออกไป แต่มีไม่เยอะมาก ส่วนมาตรการที่ศุภาลัยช่วยลูกค้าพักเงินดาวน์ 3 เดือน ก็มีลูกค้ามาขอเข้ามาตรการน้อยกว่าที่เราคิดไว้ ซึ่งมีลูกค้ามาเข้ามาตรการเพียง 500 ราย จาก Budget ที่เราตั้งไว้ 5,000 ราย ก็มองว่าเป็นสัญญาณที่ดีว่าการโอนจะยังคงดีต่อเนื่อง"นายไตรเตชะ กล่าว

นายไตรเตชะ กล่าวว่า สถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอน สิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญ คือ การบริหารจัดการด้านการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ และการลดภาระหนี้สิน ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย และลดต้นทุนทางการเงินลง เพื่อทำให้บริษัทมีความพร้อมมากขึ้นและคล่องตัวมากขึ้นเมื่อผ่านพ้นวิกฤติไปแล้ว ซึ่งจะเห็นได้จากการที่บริษัทมีการบริหารจัดการหนี้สินได้อย่างดี ทำให้ภาระหนี้ลดลง และมีความสามารถในการกู้ยืมได้มากที่ระดับ Net Gearing 50% และต้นทุนทางการเงินที่ลดลงเหลือ 2% จากเดิมที่ 2.5% ทำให้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง

อีกทั้งในส่วนของงบซื้อที่ดินในปีนี้บริษัทคาดว่าจะใช้ไม่ถึง 8 พันล้านบาทตามที่ตั้งเป้าไว้ เพราะมองว่ายังไม่เร่งรีบในการซื้อที่ดินในช่วงนี้ ขณะที่ระดับราคาขายที่ดินยังทรงตัวและยังไม่เห็นการปรับลดลงมา ทำให้บริษัทรอจังหวะในการซื้อเมื่อเห็นว่าราคาขายเริ่มปรับลดลงเพื่อความเหมาะสมในการนำมาพัฒนาโครงการที่คุ้มค่า และบริษัทก็มีที่ดินในมือที่ยังสามารถนำมาพัฒนาโครงการได้อีกมาก โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่มีอยู่ค่อนข้างมากถึง 10 แปลง

สำหรับโครงการคอนโดมิเนียม ศุภาลัย ลอฟท์ สาทร-ราชพฤกษ์ มูลค่า 1.4 พันล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมโครงการที่ 2 ของปีนี้ ปัจจุบันทำยอดขายได้แล้ว 20% จากการจองผ่าน Online Booking ในสัปดาห์ที่ผ่านมา และคาดว่าจะสามารถทำยอดขายได้ 70-80% หลังจากเปิดจองในช่วงพรีเซล 11-12 ก.ค.นี้ ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า เพราะที่ตั้งโครงการถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพ ใกล้รถไฟฟ้าสถานีบางหว้า 450 เมตร และติดถนนใหญ่ รวมไปถึงราคาขายที่ถือว่าน่าดึงดูดที่เฉลี่ย 60,500 บาท/ตารางเมตร นับว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของราคาขายคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้าสายสีลมย่านฝั่งธนบุรีตั้งแต่ปี 55 ที่มีราคาขายเกินกว่า 60,000 บาท/ตารางเมตร ทำให้มองว่าจะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ดึงดูดลูกค้าที่สนใจซื้อเพื่ออยู่อาศัย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ