BBL แจงกำไร H1/63 ยังหดตัวแม้รวมงบ"เพอร์มาตา"เหตุตั้งสำรองเพิ่มรองรับความไม่แนอนโควิด

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday July 24, 2020 13:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ชี้แจงผลประกอบการงวดครึ่งแรกของปี 63 กำไรสุทธิของธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยมีจำนวน 10,765 ล้านบาท ซึ่งได้รวมผลประกอบการของธนาคารเพอร์มาตาตั้งแต่วันที่ BBL เข้าไปถือหุ้น โดยกำไรสุทธิลดลงจากครึ่งแรกของปี 62 เนื่องจากธนาคารมีการตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษเพื่อกันเงินสำรองสำหรับความไม่แน่นอนที่อาจเพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจที่หดตัวจากผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งการคาดการณ์วิกฤติในครั้งนี้ยังยากที่จะคาดคะเน เพราะเป็นวิกฤติด้านสาธารณสุขที่ส่งผลกระทบกว้างไกลต่อระบบเศรษฐกิจโลก ไม่ใช่วิกฤตเศรษฐกิจโดยตรงเหมือนที่ผ่านมาในอดีต

BBL รายงานงบการเงินไตรมาส 2/63 มีกำไรสุทธิ 3.1 พันล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.62 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 9.35 พันล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 4.90 บาท ขณที่งวด 6 เดือนมีกำไร 10,765 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 18,375 ล้านบาท

สำหรับรายได้ดอกเบี้ยสุทธิในงวดครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้น 5.6% หากไม่รวมธนาคารเพอร์มาตา รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 1.8% ตามการเติบโตของสินเชื่อ ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 2.31% สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงส่วนใหญ่จากกำไรสุทธิจากเงินลงทุน และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิลดลง สาเหตุหลักจากการเปลี่ยนแปลงการรับรู้รายได้ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับการให้สินเชื่อตาม TFRS 9

ส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอยู่ในระดับใกล้เคียงกับครึ่งแรกของปี 62 โดยมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 45% โดยธนาคารยังคงดูแลค่าใช้จ่ายอย่างมีวินัย เน้นการใช้จ่ายที่ช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยด้านสาธารณสุข รวมถึงการดำเนินการปรับปรุงระบบงานให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น และชะลอการใช้จ่ายที่ยังไม่จำเป็นในช่วงภาวะซบเซา

ธนาคารและบริษัทย่อยได้นำมาตรฐานกลุ่มเครื่องมือทางการเงินฉบับใหม่ (ฉบับที่ 9) มาถือปฏิบัติกับงบการเงินสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.63 เป็นต้นไป โดยไม่ปรับงบการเงินเปรียบเทียบย้อนหลัง การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ได้แก่ การจัดประเภทและการวัดมูลค่าสินทรัพย์และหนี้สินทางการเงิน การคำนวณการด้อยค่าของสินทรัพย์ทางการเงินโดยใช้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss) การบัญชีป้องกันความเสี่ยง และการรับรู้รายได้ดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อโดยใช้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Interest Rate: EIR)

ณ สิ้นเดือน มิ.ย.63 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,353,848 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.2% จากสิ้นปี 62 หากไม่รวมธนาคารเพอร์มาตา เงินให้สินเชื่อเพิ่มขึ้น 3.4% จากสินเชื่อธุรกิจ ซึ่งเป็นไปตามประมาณการสินเชื่อที่คาดไว้ตั้งแต่ปลายปีก่อน สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ 4.1% ขณะที่อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ที่ 170.5%

ด้านเงินกองทุนและสภาพคล่อง ณ วันที่ 30 มิ.ย.63 ธนาคารมีเงินรับฝากจำนวน 2,852,295 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.3% จากสิ้นปี 62 หากไม่รวมธนาคารเพอร์มาตา เงินรับฝากเพิ่มขึ้น 8.9% จากเงินรับฝากทุกประเภท จากการที่ลูกค้ามุ่งเน้นการบริหารสินทรัพย์โดยเน้นกลยุทธ์เชิงคุณภาพ สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ 82.5% สะท้อนถึงสภาพคล่องที่เพียงพอรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่ 16.6%, 14% และ 14% ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด

อนึ่ง BBLได้เข้าถือหุ้นธนาคารเพอร์มาตาในประเทศอินโดนีเซียที่ 89.12% เสร็จสมบูรณ์ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค.63 ดังนั้นงบการเงินรวมของ BBL ในครึ่งแรกของปี 63 ได้รวมผลประกอบการของธนาคารเพอร์มาตาตั้งแต่วันที่เข้าไปถือหุ้น โดยธนาคารเพอร์มาตามีสินทรัพย์ ณ สิ้นเดือน มิ.ย.63 จำนวน 336,964 ล้านบาท และหนี้สินจำนวน 285,022 ล้านบาท คิดเป็น 9% ของสินทรัพย์รวม และ 8% ของหนี้สินรวมของธนาคาร

BBL ระบุว่า ครึ่งแรกของปี 63 เศรษฐกิจไทยหดตัวอย่างหนักจากผลกระทบของมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มาตรการปิดเมืองทั่วโลกและมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ เป็นผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวหดตัวอย่างหนัก ประกอบกับการส่งออกและการนำเข้าสินค้าของไทยลดลงตามความต้องการของประเทศคู่ค้าที่อ่อนแอ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศลดลงตามไปด้วย การบริโภคภาคเอกชนลดลงอย่างมากจากยอดขายรถยนต์ที่ลดลง และการหยุดชะงักของกิจกรรมภาคบริการ การผลิตภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนหดตัวจากความต้องการที่ลดลงทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ดี การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐขยายตัวจากการเร่งเบิกจ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้

นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบทางเศรษฐกิจต่อประชาชนและผู้ประกอบการในหลายภาค รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงได้ออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อผ่อนคลายผลกระทบดังกล่าวมาเป็นลำดับ ในการนี้ BBL ได้ร่วมสนับสนุนนโยบายของภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทยโดยเร่งออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าธุรกิจ อาทิ การสนับสนุนวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติม การพักชำระหนี้ และออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยโดยปรับลดอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำ เพิ่มวงเงิน รวมทั้งปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นการทั่วไปสำหรับทั้งลูกค้าธุรกิจและลูกค้ารายย่อย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ