U รับปีนี้อาจพลิกขาดทุนอีกครั้งรับผลปิดโรงแรมช่วงโควิด,ชะลอลงทุนใหม่-พักแผนร่วมทุนพันธมิตร

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday July 31, 2020 18:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานคณะกรรมการ บมจ.ยู ซิตี้ (U) เปิดเผยว่า ภาพรวมของผลการดำเนินงานทั้งปี 63 ยอมรับว่ายังเผชิญแรงกดดันจากโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยว และกระทบมาถึงธุรกิจโรงแรมของบริษัท ซึ่งเป็นพอร์ตธุรกิจหลัก ยังมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนว่าสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกจะคลี่คลายลงชัดเจนเมื่อใด ทำให้ผลการดำเนินงานปีนี้มีโอกาสพลิกกลับมาขาดทุนได้ หลังจากปี 62 เพิ่งฟื้นเป็นกำไรสุทธิเป็นครั้งแรกที่ 1.8 พันล้านบาท โดยแนวโน้มรายได้ปีนี้ก็คาดว่าจะลดลงจากปีก่อนด้วยเช่นกันจากผลกระทบของโควิด-19 ที่เกิดขึ้น

นายคีรี กล่าวว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อบริษัทค่อนข้างมากในปี 63 โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ที่รายได้จากธุรกิจโรงแรม ซึ่งมีสัดส่วนมากที่สุดถึง 70% ของรายได้กลุ่มบริษัทนั้น ได้ปรับตัวลดลงไปมากจากการปิดตัวชั่วคราวของธุรกิจโรงแรมทั้งในประเทศ และต่างประเทศ

ธุรกิจโรงแรมต่างประเทศส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในยุโรปตะวันออกของกลุ่ม Vienna House ที่บริษัทได้เข้าซื้อมาในปีก่อนนั้น ได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงครึ่งปีแรก โดยปิดการให้บริการไปทั้งหมด 53 แห่ง จากโรงแรมที่มีอยู่ทั้งหมด 57 แห่ง ประกอบกับการปิดให้บริการโรงแรมในประเทศทั้งหมด 8 แห่งในช่วงล็อกดาวน์ ทำให้รายได้จากธุรกิจโรงแรมหายไปค่อนข้างมาก

แม้ปัจจุบันบริษัทจะกลับมาทยอยเปิดโรงแรมในยุโรปตะวันออก 45 แห่งแล้ว และทยอยเปิดโรงแรมในประเทศ แต่อัตราการเข้าพักยังถือว่าต่ำมาก จากการที่นักท่องเที่ยวยังไม่สามารถกลับมาท่องเที่ยวได้ตามปกติเหมือนก่อนโควิด-19 และยังมีการปิดประเทศอยู่ จากความไม่แน่นอนของโควิด-19 ที่ยังคงระบาดต่อเนื่อง ทำให้กดดันต่อภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้อย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับปัจจัยที่ยังเข้ามาช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานได้บ้างในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 มาจากรายได้ของอาคารสำนักงานให้เช่าในลอนดอน ประเทศอังกฤษ 2 แห่ง และอาคารสำนักงานให้เช่าในกรุงเทพฯ 2 แห่ง ยังมีรายได้ค่าเช่าเข้ามาต่อเนื่อง ประกอบกับมีส่วนแบ่งกำไรจากการโอนบางโครงการคอนโดมิเนียมที่ร่วมทุนกับ บมจ.แสนสิริ (SIRI) เข้ามาช่วยให้บริษัทยังมีรายได้ กำไร และสภาพคล่องเข้ามาได้บ้าง แต่ยังไม่สามารถชดเชยรายได้ที่หายไปค่อยข้างมากจากธุรกิจโรงแรม อีกทั้งในเดือนส.ค.นี้จะมีรายได้ที่เข้ามาเพิ่มจากการเปิดเทอมของโรงเรียนนานาชาติ VERSO ที่จะเข้ามาเสริมในช่วงครึ่งปีหลัง

"ภาพรวมในปี 63 ของยู ซิตี้ ยังเผชิญกับความท้าทายจากโควิด-19 ที่ไม่ทราบแน่ชัดว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ทำให้ภาพที่เรามองไว้ที่บริษัทเริ่มฟื้นตัวมาตั้งแต่ปีที่แล้ว จะต่อเนื่องมาถึงปีนี้ และค่อยเติบโตขึ้นต่อ ๆไป เป็นคนละภาพจากความเป็นจริงที่เกิดขึ้นหลังโควิด-19 เข้ามากระทบทั้งเราเองและคนอื่น ๆ ทั่วโลก ซึ่งเราต้องเตรียมความพร้อมล่วงหน้าและรวดเร็ว และเราก็ได้ตัดสินใจทำเพื่อเตรียมความพร้อมในช่วงแรกแล้วหลังเกิดผลกระทบจากโควิด-19 ขึ้น ทำให้เราไม่เจ็บตัวมาก ซึ่งภาพของปีนี้ทั้งปีก็จะได้รับแรงกดดันจากโควิด-19 เข้ามาอย่างมาก โดยเฉพาะในไตรมาส 2/63 ซึ่งตอนนี้ก็ต้องรอจนกว่าสถานการณ์แพร่ระบาดจะคลี่คลายลงชัดเจน และมียารักษาใช้จริง ถึงจะเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีเพราะธุรกิจส่วนใหญ่ของยู ซิตี้ เป็นธุรกิจโรงแรมที่อิงกับภาคการท่องเที่ยวที่โดนกระทบมากจากโรคระบาดในครั้งนี้"นายคีรี กล่าว

นายคีรี กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ที่กระทบต่อภาพรวมในปี 63 ทำให้บริษัทหันมาบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่าย และการบริหารจัดการสภาพคล่องให้ดีมากขึ้น เพื่อทำให้มีความมั่นคงในการดำเนินธุรกิจต่อไป ที่ผ่านมาบริษัทได้ลดค่าใช้จ่ายลงไปค่อนข้างมาก โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานโรงแรมในยุโรป โดยเลิกจ้างไปแล้ว 1,000 คน ประกอบกับเจรจาขอลดค่าเช่าหรือเลื่อนการจ่ายค่าเช่าที่ดินในโรงแรมยุโรปที่ใกล้ครบกำหนดอายุสัญญาเช่า ซึ่งมีผู้ให้เช่าบางรายช่วยเหลือบริษัทในส่วนนี้ ทำให้ค่าใช้จ่ายลดลงไปได้ค่อนข้างมาก

ล่าสุดบริษัทได้ขออนุมัติที่ประชุมผู้ถือหุ้นงดการจ่ายเงินปันผลของปี 62 เพื่อนำเงินมาสำรองไว้เสริมสภาพคล่องแทน แม้ว่าบริษัทจะถือว่ายังมีสภาพคล่องจากเงินสดฝากธนาคาร 2 พันล้านบาท และมีกำไรสะสมปีก่อน 1 พันล้านบาท แต่บริษัทจำเป็นต้องป้องกันความเสี่ยงไว้ก่อนล่วงหน้าในช่วงที่สถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอน และรองรับเผื่อโอกาสที่ดีในการเข้าลงทุนดีลที่ให้ผลตอบแทนที่ดีเพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต

ขณะที่บริษัทชะลอการลงทุนใหม่ ๆ ออกไปก่อน และไม่เร่งรีบตัดสินใจลงทุนเพิ่มในช่วงที่สถานการณ์ยังมีความเสี่ยง เพื่อหลีกเลี่ยงโอกาสความผิดพลาดในการลงทุน แม้บริษัทจะยังมีความสามารถในการกู้ยืมมาก และมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำเพียง 0.48 เท่าก็ตาม แต่แผนการลงทุนที่ประกาศไปแล้วยังคงเดินหน้าต่อไป ได้แก่ โครงการมิกซ์ยูส VERSO โครงการร้อยชักสาม ที่ทำเป็นโรงแรม 5 ดาว และโครงการโรงแรมในเครือ Vienna House ในเวียดนาม ซึ่งโรงแรมอยู่ระหว่างการเตรียมก่อสร้าง คาดว่าจะเปิดให้บริการในอีก 2 ปี

การลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย ประเภทคอนโดมิเนียม ซึ่งบริษัทได้ร่วมกับพันธมิตรผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ไนตลาดหลักทรัพย์ฯนั้น บริษัทเห็นถึงสัญญาณการชะลอตัวของตลาดค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโดมิเนียม และมีปัจจัยกดดันจากโควิด-19 เข้ามาเพิ่มขึ้นอีก ทำให้บริษัทชะลอและทบทวนแผนการร่วมทุนกับพันธมิตรใหม่

ส่วนการร่วมทุนกับ SIRI ขณะนี้ก็หยุดพักไปชั่วคราวเช่นกัน หลังจากได้พัฒนาโครงการร่วมกันไปแล้ว 22 โครงการ ซึ่งได้เปิดขายและทยอยโอนไปเกือบทั้งหมดแล้ว และจากการลดราคาขายในช่วงที่ผ่านมาถือว่ามีการขายและการโอนที่เร็วมากขึ้น ซึ่งลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดีจากการทำแคมเปญโปรโมชั่น ทำให้ได้รับส่วนแบ่งกำไรเข้ามาช่วยเพิ่มกระแสเงินสดให้กับบริษัท

อย่างไรก็ตาม การชะลอพัฒนาโครงการร่วมกันดังกล่าว ทำให้มีการแบ่งสินทรัพย์ที่ดินจากบริษัทร่วมทุนออกมา ซึ่งบริษัทได้ที่ดินคืนมาเป็นที่ดินของบริษัทจำนวน 3 แปลงคือ ที่ดินทำเลสุขุมวิท 12 จำนวน 2 ไร่ ที่ดินสุขุมวิท 38 จำนวน 2 ไร่ และที่ดินย่านพระราม 9 จำนวน 6 ไร่ ซึ่งหากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ภาวะเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์กลับมาดี ก็มีโอกาสที่จะนำที่ดินกลับมาพัฒนาร่วมกับ SIRI หรือพันธมิตรรายอื่นได้

ส่วนการร่วมทุนกับบมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) ได้ร่วมกันพัฒนาคอนโดมิเนียมแบรนด์ NUE รัชดา-ลาดพร้าว ก็เตรียมเปิดขายในเร็ว ๆ นี้

ด้านโครงการสนามบินนานบชาติอู่ตะเภาที่กลุ่มกิจการร่วมค้า BBS ได้แก่ บมจ.การบินกรุงเทพ (BA) บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) และบมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) เป็นผู้ดำเนินการนั้น ในอนาคตบริษัทก็จะเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือกลุ่ม BTS พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นส่วนที่กลุ่ม BTS รับผิดชอบเกี่ยวกับธุรกิจเชิงพาณิชย์และอสังหาริมทรัพย์ โดยจะนำจุดแข็งของบริษัทเข้ามาช่วยพัฒนาโครงการดังกล่าวต่อไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ