UNIQ หวั่นปีนี้งานใหม่ไม่มากจากการเมืองเป็นเหตุ/คาดกำไรถึง 200 ลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 2, 2007 15:19 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บมจ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น(UNIQ)ยอมรับปีนี้ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองทำให้มีการเปิดประมูลภาครัฐล่าช้าส่งผลทำให้งานใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่มใน backlog ไม่พุ่งแรงถึงหมื่นล้านบาทอย่างที่คาด แต่ยังมีลุ้นงานถนัดกโครงการสร้างสะพานข้ามแยก-อุโมงค์ของกทม. ซึ่งคาดว่าจะทยอยเปิดประมูลไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาทตั้งแต่ช่วง Q3/50
อย่างไรก็ตาม จาก backlog ปัจจุบันที่มีกว่า 5.4 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงปี 50-51 ทำให้มีรายได้แน่นอนในกระเป๋าแล้วปีละประมาณ 2.7 พันล้านบาท โดยโครงการใหม่จะชี้อนาคตรายได้ในปี 52 เป็นต้นไป ซึ่งนอกเหนือจากงานกทม.แล้ว บริษัทยังคาดว่าน่าจะมีส่วนร่วมในงานเมกะโปรเจ็คต์ที่กำลังจะเดินเครื่องเต็มที่ในปีหน้าด้วย
"ทั้งปีรายได้ในพื้นฐานที่เราประมาณการตาม backlog ที่เรามีอยู่ คาดว่าน่าจะได้ตามเป้าหมายที่เราคาดหวังไว้ รายได้ที่ประมาณการจาก backlog ที่มีอยู่ 5.4 พันล้านบาท รับรู้ใน 2 ปี ก็จะได้ประมาณ 2.7 พันล้านบาทต่อปี คึอสิ่งที่เราได้แน่ๆ ถึงแม้เราประมูลแพ้หมดเลย"นายนที พานิชชีวะ ประธานกรรมการ UNIQ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
ในปี 50 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ 2.7 พันล้านบาทและมีกำไรสุทธิ 200 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นมากจากปี 49 ที่มีรายได้ 1 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 40 ล้านบาท
"เราประเมินงานใหม่ที่เราหวัง แต่ถ้าไม่มีงานใหม่ก็ไม่เป็นไร เพราะเรามี backlog อยู่แล้ว แต่ปีนี้ไม่มีผลอะไรทุกอย่างเป็นตามที่วางแผนไว้หมด เราประมาณการน่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ 200 ล้านบาท" นายนที กล่าว
เมื่อต้นปี 50 บริษัทรับรู้รายได้ในไตรมาสแรกแล้ว 500 ล้านบาท ก็ยังเหลือ 4.9 พันล้านบาทที่จะทยอยรับรู้ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีนี้ไปจนถึงตลอดปีหน้า ซึ่งคาดว่ารายได้ในไตรมาส 2/50 จะออกมาดีกว่าไตรมาส 2/49 เช่นเดียวกับที่ไตรมาสแรกรายได้เป็นได้ตามเป้าหมาย
*งานใหม่อาจพลาดเป้าหมื่นลบ.จากรัฐประมูลช้า
นายนที คาดว่า งานใหม่ในปีนี้คงจะพลาดเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้ 1 หมื่นล้านบาท หลังจากงานก่อสร้างโดยเฉพาะของภาครัฐล่าช้ากว่ากำหนด นอกจากนั้น เป้าดังกล่าวได้รวมโครงการเมกะโปรเจ็คต์ที่คาดว่า UNIQ จะได้งานส่วนหนึ่ง ซึ่งหากเมกะโปรเจ็คต์ล่าช้าไป ก็ยิ่งจะทำให้งานใหม่ที่บริษัทคาดไว้ก็ไม่ได้อย่างที่ประเมินไว้ตอนต้น
สำหรับงานโยธาของกทม.หลายงานล่าช้ามาตั้งแต่ปีก่อน โดยคาดว่าจะเริ่มประมูลได้ในไตรมาส 3/50 จากงบประมาณประจำปีของกทม.กว่า 2 หมื่นล้านบาทในโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทางลอดและทางแยกทั้งที่ก่อสร้างใหม่และปรับปรุงใหม่
"เนื่องจากการเมืองมีความไม่แน่นอนสูง ทุกอย่างเลยล่าช้า พอการเมืองไม่นิ่ง ข้าราชการก็ทำงานแบบไม่รีบ พอไม่รีบทุกอย่างจะช้าไปหมด ก็เลย control ไม่ได้ เพราะจริงๆเราหวังว่างานกทม.จะออกเร็วก็ออกไม่เร็ว และช้ากว่าที่คิดเยอะ ทำให้แผนงานเราคลาดเคลื่อนไปเยอะ ที่คิดว่าจะมีงานใหม่เข้ามามากที่คาดหวัง" นายนที กล่าว
บริษัทเตรียมจะยื่นซองประมูลงานปรับปรุงสะพานข้ามแยกที่กทม.ออกรายละเอียดโครงการมาแล้ว และอยู่ระหว่างรอตรวจสอบคุณสมบัติผู้รับเหมา โดยบริษัทได้ยื่นงานไป 2 กลุ่ม แต่ละกลุ่มมีมูลค่างานประมาณ 300 ล้านบาท คาดว่าจะเสนอราคากันในเดือนส.ค.นี้
"ถ้าไม่มีอะไรติดขัดเขาควรจะออกประมูล ทั้ง 2 หมื่นล้านบาท เพราะเป็นงบประมาณประจำปี แต่เราประมาณการยาก เพราะไม่สามารถบอกได้ว่าจะได้งานหรือไม่ได้ แต่อยากให้ดูในอดีต 10 กว่าปีที่ผ่านมาเราทำงานกับกทม.มาตลอดมีผลงานที่ชัดเจน และเราได้ตลอดและสม่ำเสมอ ก็ประเมินยากว่าจะได้งานใหม่เท่าไร เพราะไม่รู้ว่าจะเปิดประมูลเท่าไร และราคาถ้าไม่ได้ดีเราไม่ประมูล" นายนที กล่าว
ล่าสุด งานใหม่ที่บริษัทได้ในปีนี้ที่เพิ่งประมูลได้ยังอยู่ระหว่างการต่อรองราคา เป็นงานทำเขื่อนกันน้ำท่วม จ.อ่างทอง มูลค่างานประมาณ 300 ล้านบาท
ขณะที่งานของกทม.เป็นโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทางลอดและทางแยก 16 โครงการ มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของสะพานข้ามแยก ประกอบด้วย ก่อสร้างและปรับปรุง ถ.ศรีนครินทร์ จากแยกพัฒนาการ-สุขุมวิท 103 วงเงิน 800 ล้านบาท, ก่อร้างและปรับปรุง ถ.หทัยราษฎร์ จากสุวินทวงศ์-สายไหม วงเงิน 1,000 ล้านบาท, การก่อสร้างและปรับปรุง ถ.สะแกงาม จาก ถ.พระราม 2-ถ.บางขุนเทียนชายทะเล วงเงิน 181.7 ล้านบาท
การก่อสร้างทางลอด ถ.จรัญสนิทวงศ์ - พรานนก วงเงิน 880 ล้านบาท , สร้างทางลอด ถ.จรัญสนิทวงศ์ - ถ.บรมราชชนนี วงเงิน 880 ล้านบาท, สร้างทางลอด ถ.ศรีนครินทร์ - สุขุมวิท 103 (อุดมสุข) วงเงิน 1,000 ล้านบาท และก่อสร้าง ถ.พุทธมณฑลสาย 1 ช่วงจาก ถ.เพชรเกษมถึงสุดเขตกรุงเทพฯ วงเงิน 715 ล้านบาท
งานทั้งหมดได้จัดทำทีโออาร์ รวมทั้งราคากลาง ขายแบบและจัดทำอีอ๊อกชั่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะสามารถประกาศประกวดราคาและได้ตัวผู้รับเหมาภายในเดือน ส.ค.นี้
*ปีนี้หากงานใหม่ไม่เพิ่มไม่กระทบผลประกอบการปี 50-51
นายนที กล่าววว่า แม้จะไม่ได้งานใหม่เข้ามามากตามที่คาดไว้ในปีนี้ แต่จะไม่กระทบกับผลประกอบการในปีหน้าเพราะ backlog ที่มีอยู่ทำงาน 2 ปี ก็จะสามารถรับรู้รายได้ในปี 50-51 ผลที่จะเกิดขึ้นต้องไปเป็นปี 52 แต่บริษัทคาดว่าตอนสิ้นปีนี้จะมีงานต่างๆทยอยประมูล เพราะเริ่มจะหมดปีงบประมาณแล้ว ก็เริ่มจะใช้เงินที่แต่ละหน่วยงานขอไว้ และก็หวังว่าเมื่อมีรัฐบาลใหม่ทุกอย่างจะเข้าสู่ปกติ ส่วนเมกะโปรเจ็คต์คิดว่าจะเปิดประมูลในปีนี้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่ารถไฟฟ้าสายสีแดงจะเปิดประมูลทันปีนี้หรือเปล่า
"ส่วนที่เราจะได้งานใหม่ก็จะเพิ่มเติมเข้าไป ตอนนี้ ยอมรับการเปิดประมูลของกทม.ล่าช้าส่งผลต่อ backlog ใหม่ของบริษัท แต่ก็คาดว่าจะใช้งบให้ทันในปีงบประมาณ 50 (ก.ย.) งานกทม.เป็นงานหลักมาตลอด เพราะเป็นงานที่เราถนัด แต่เราก็มั่นใจว่าเรามีความถนัดในงานกทม. เราจะมุ่งเน้นงานยาก เพราะจะมีคู่แข่งน้อย งานน้อยจะทำให้การขยายของเราจะต้องค่อยเป็นค่อยไป ถ้างานเยอะเราก็จะก้าวกระโดด" นายนทีกล่าว
อย่างไรก็ตาม กรรมการผู้จัดการ UNIQ เชื่อว่า จะมีงานใหม่รองรับปี 52 โดยคาดว่าในไตรมาส 3 ปีนี้ทางกทม.ก็จะเร่งการประมูล ประกอบปีหน้าคาดว่าจะมีรัฐบาลใหม่งานก็จะเข้าสู่ภาวะปกติ และเร่งโครงการเมกะโปรเจ็คต์ ก็จะมีผลในปีถัดไปคือปี 52 ให้มีงานในมือเพิ่มได้
"ในปีนี้ เราเองไม่ได้อยู่ positiion น่าห่วงอะไร ผมคิดว่าเราสบายๆด้วยซ้ำไป มีงานในมืออยู่แล้ว ไม่ได้กังวลอะไรเลย"
นอกจากนี้จะมีงานของกรมโยธาธิการ งานของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และงานการรถไฟแห่งประทศไทย(รฟท.) ได้แก่ โครงการถไฟทางคู่ ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะมีทยอยประมูลกันออกมา
อย่างไรก็ตาม ราคาเหล็กที่ปรับตัวขึ้นก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับบริษัท เพราะปกติหากบริษัทจะล็อกราคาเหล็กในโครงการนั้นๆก่อนประมูล ดังนั้นความเสี่ยงเรื่องราคาเหล็กจะไม่เกิดขึ้น เชื่อว่าราคาเหล็กไม่ปรับขึ้นเนื่องจากเงินบาทแข็งค่า

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ