SAM เร่งศึกษาแผนผลิตท่อน้ำมันใน 3 ปี,รักษาเป้าโตรายได้ปี 50 เท่าปีก่อน

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday August 29, 2007 15:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บมจ. สามชัย สตีล อินดัสทรี(SAM)เร่งศึกษาแผนผลิตท่อน้ำมันขนาดใหญ่ ซึ่งให้มาร์จิ้นสูง คาดเริ่มได้ในอีก 3 ปีข้างหน้า หวังขยายฐานลูกค้าไปกลุ่มพลังงาน ใช้เงินลงทุนราว 200 ล้านบาท แหล่งเงินทุนยังอยู่ระหว่างพิจารณา แต่ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการออกวอแรนต์ในเดือน ก.ย.-ต.ค.นี้ 
แต่สำหรับปีนี้ส่อแววลดเป้าโตของรายได้เหลือ 10% เท่าปีก่อน หลังผลงาน 2 ไตรมาสที่ผ่านไม่น่าพอใจ ประกอบกับยังประเมินสถานการณ์ในช่วงที่เหลือของปีนี้ไม่ถูกว่าราคาเหล็กจะเป็นอย่างไร แต่โชคดีที่มีการประกันความเสี่ยงด้วยการทำสัญญาซื้อล่วงหน้ากับ 2 ซัพพลายเออร์รายใหญ่เอาไว้ รวมทั้งเล็งขยายตลาดส่งออกในช่วงปลายปีนี้
นายพัชวัฏ คุณชยางกูร ประธานกรรมการ SAM เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทกำลังเร่งศึกษาแผนผลิตท่อน้ำมันเพื่อต่อยอดจากปัจจุบันที่ผลิตและจำหน่ายท่อเหล็กสำหรับงานโครงสร้างขนาดใหญ่ เช่น สนามบิน อาคารสูง ตลอดจนสนามกีฬา โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตท่อน้ำมันได้ในอีก 3 ปีข้างหน้า และใช้เงินลงทุนเพิ่มอีกประมาณ 200 ล้านบาท เพื่อสั่งซื้อเครื่องจักรสำหรับตรวจสอบคุณภาพเหล็ก ส่วนแหล่งเงินทุนกำลังพิจารณาเนื่องจากยังมีเวลาตัดสินใจอีกพอสมควร
ปัจจุบันโรงงานมีกำลังผลิตท่อเหล็กเต็มที่ได้ 4 แสนตันต่อปี แต่ปัจจุบันใช้กำลังผลิตเพียง 2 แสนตันต่อปี ดังนั้น โรงงานยังสามารถรองรับการผลิตท่อน้ำมันได้อีกจำนวนมาก
"ถ้าอนาคตเราผลิตสินค้าพวกท่อน้ำมันได้ จะทำให้สามารถขยายฐานไปยังลูกค้าใหม่ๆมากขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าในกลุ่มพลังงาน เช่น ปตท. และโรงกลั่นต่างๆ"นายพัชวัฏ กล่าว
นายพัชวัฏ กล่าวว่า นอกจากจะขยายฐานลูกค้าใหม่แล้ว บริษัทมองว่าการผลิตท่อน้ำมันยังมีมาร์จิ้นสูงกว่าการผลิตท่อเหล็กทั่วไป โดยคาดว่าท่อน้ำมันมาร์จิ้นจะอยู่ที่ประมาณ 10% ขึ้นไป ขณะที่ท่อเหล็กทั่วไปมาร์จิ้นอยู่ที่ประมาณ 5-8% อย่างไรก็ตาม ท่อเหล็กรุ่นเก่าบริษัทก็จะยังผลิตอยู่ ส่วนในอนาคตจะแบ่งสายการผลิตไปอีกอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาด
*คาด ก.ล.ต.อนุมัติวอแรนต์ ก.ย.-ต.ค.นี้ ระดมเงินเป็นทุนหมุนเวียน
นายพัชวัฏ คาดว่า บริษัทจะได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ในการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทในเดือน ก.ย.-ต.ค.นี้ หลังจากที่ได้ยื่นไฟลิ่งไปแล้วในช่วงกลางเดือน ส.ค. โดยมีแผนนำเงินไปใช้เป็นทุนหมุนเวียน
"เรายื่นไฟลิ่งวอแรนต์ไปอาทิตย์กว่าๆแล้ว คิดว่าถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็อีกประมาณเดือนกว่าๆ คือ ก.ย.หรือต้น ต.ค.นี้"นายพัชวัฏ กล่าว
SAM จะออกวอร์แรนต์เสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 4 หุ้นเดิมต่อ 1 วอร์แรนต์ โดยไม่คิดมูลค่าจำนวน 212.50 ล้านหน่วย กำหนดราคาใช้สิทธิ 1 บาท/หุ้น(มูลค่าที่ตราไว้เท่ากับ 1 บาท) โดยเงินจากการแปลงสภาพในช่วง 3 ปีข้างหน้าบริษัทจะเผื่อไว้เป็นทุนหมุนเวียนและบางส่วนอาจจะใช้สมทบทุนสำหรับการผลิตท่อน้ำมันในอนาคต
*หวังรักษารายได้แค่เติบโต 10% เท่าปีก่อน
นายพัชวัฏ กล่าวว่า สำหรับผลประกอบการปีนี้ยอมรับว่ายังประเมินสถานการณ์ลำบาก เนื่องจากราคาเหล็กมีความผันผวนมาก บริษัทจึงมองว่าเพียงแค่สามารถรักษาอัตราการเติบโตของรายได้ปีนี้ให้เท่ากับปีก่อน คือ โต 10% จากปี 49 ที่มีรายได้ 3,738.19 ล้านบาทก็น่าพอใจแล้ว
"ถึงตอนนี้เราหวังแค่โตเท่าปีที่แล้วคือ โต 10% ก็พอใจแล้ว เพราะตลาดไม่ดีเลย"นายพัชวัฏ กล่าว
ช่วงต้นปี 50 SAM ตั้งเป้ารายได้ปี 50 เติบโต 20% แต่ปรากฎว่าครึ่งปีแรกออกมาไม่ค่อยดีนัก โดยไตรมาส 1/50 ขาดทุนสุทธิ 54.88 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 9.76 ล้านบาท
ขณะที่ไตรมาส 2/50 กำไรสุทธิลดลงเหลือ 15.91 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 39.23 ล้านบาท ส่งผลให้งวด 6 เดือน มีผลขาดทุนสุทธิ 38.97 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 48.98 ล้านบาท
นาชพัชวัฎ กล่าวว่า แนวโน้มไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปีนี้ยังประเมินได้ยากว่าผลดำเนินงานจะออกมาเป็นอย่างไรเนื่องจากการเติบโตของรายได้ขึ้นอยู่กับราคาเหล็กในตลาด ซึ่งปัจจุบันราคาเหล็กยังมีความผันผวน
แต่บริษัทก็มีแนวทางแก้ปัญหาด้วยการทำสัญญาซื้อล่วงหน้าวัตถุดิบกับ บมจ. สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) และ บมจ.จีสตีล (GSTEEL) เพื่อสต็อกไว้เท่าที่จำเป็นต้องใช้ โดยสต็อกครั้งหนึ่งอยู่ที่หมื่นกว่าตัน ซึ่งเพียงพอใช้ผลิตไปนานราวครึ่งเดือน แต่จะไม่มีการสต็อกไว้เพื่อเก็งกำไร
นอกจากนั้น ณ วันนี้ยังมีฐานะเป็นเพียงพันธมิตรคู่ค้าที่ดีต่อกันกับ SSI และ GSTEEL แต่ยังไม่มีแผนจะขยายความร่วมมือในลักษณะอื่น
นายพัชวัฎ กล่าวอีกว่า บริษัทยังพยายามส่งออกให้มากขึ้น โดยตลาดที่มองไว้คือ ออสเตรเลีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง และแถบยุโรป คาดว่าจะเริ่มในช่วงปลายปีนี้ ส่วนในประเทศนั้นภาคการก่อสร้างยังชะลอตัวเนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมือง การเบิกจ่ายงบประมาณยังไม่เต็มที่ แต่คาดว่าสถานการณ์จะดีขึ้นหลังการเลือกตั้งและมีรัฐบาลใหม่
ปัจจุบันรายได้ของบริษัทมาจากการขายในประเทศ 70% และส่งออก 30%

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ