CONSENSUS: โบรกฯเชียร์ ซื้อ TACC ลุ้นกำไร Q3/63 นิวไฮรอบปี ปรับแผนขายหนุนมาร์จิ้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday October 14, 2020 15:06 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ แนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์ (TACC) หลังมองผลงานน่าจะผ่านจุดต่ำสุดแล้วในไตรมาส 2/63 และกำไรสุทธิไตรมาส 3/63 น่าจะทำจุดสูงสุดใหม่รายไตรมาสของปีนี้ รับปัจจัยหนุนการคลายล็อกดาวน์จากมาตรการเข้มสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้กำลังซื้อกลับมาฟื้นตัว

ประกอบกับ มีการปรับ Product Mix และการขายท็อปปิ้ง อโลเวร่า เป็นเมนูเสริมเครื่องดื่ม รวมถึงการเพิ่มขนาดเครื่องดื่มมุม All Cafe ในร้าน 7-Eleven ก็ได้รับการตอบรับที่ดีช่วยหนุนมาร์จิ้นเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ การที่ร้าน 7-Eleven มีแผนขยายสาขาเพิ่มขึ้นในไตรมาส 3/63 อีก 200 สาขา ก็จะส่งผลให้รายได้ของ TACC เติบโตได้ตามไปด้วย

ราคาหุ้น TACC ช่วงบ่ายอยู่ที่ 6.60 บาท ลดลง 0.05 บาท หรือ 0.75% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ลดลง 1.03%

          โบรกเกอร์                   คำแนะนำ                ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
          เคทีบี (ประเทศไทย)             ซื้อ                       8.30
          เคจีไอ(ประเทศไทย)             ซื้อ                       8.00
          ฟิลลิป (ประเทศไทย)             ซื้อ                       8.00
          โกลเบล็ก                      ซื้อ                       7.50

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ประเมินกำไรสุทธิของ TACC ในไตรมาส 3/63 ที่ 53 ล้านบาท เติบโต 29% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 12% จากไตรมาส 2/63 หลังแนวโน้มการบริโภคที่กลับมาฟื้นตัวจากยอดขายเครื่องดื่มภายในร้าน 7-Eleven กลับเข้าสู่ภาวะปกติ และยังได้มี Project Upsize Strategy (แก้วใหญ่ 22 ออนซ์) ของเครื่องดื่ม All Cafe ซึ่งในเดือน ก.ย.63 มีสาขาร่วมจำหน่ายเพิ่มขึ้นถึง 290% จากในช่วงทดลองตลาดในไตรมาส 2/63 ที่ประมาณ 2,000 สาขา

นอกจากนี้ ยังคาดว่าร้าน 7-Eleven จะขยายสาขาเพิ่มขึ้นในไตรมาส 3/63 อีก 200 สาขา ก็ส่งผลให้รายได้ของ TACC จะเติบโตตามการขยายตัวของสาขา 7-Eleven ด้วย

"TACC มีจุดเด่นอยู่ที่การร่วมทำธุรกิจกับร้าน 7-Eleven ที่มีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง และยังได้มีการปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจให้เข้ากับสถานการณ์ซึ่งจะเห็นได้ว่าในข่วง 1-2 ไตรมาส ที่ผ่านมาบริษัทยังสามารถทำกำไรได้ค่อนข้างดีแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เราจึงยังชอบอยู่"นายมงคล กล่าว

ด้านนักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ยังคงมีมุมมองเชิงบวกกับ TACC โดยมองทิศทางการทำกำไรของในช่วงครึ่งหลังปีนี้จะฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง หลังจากคลายล็อกดาวน์ทำให้กำลังซื้อกลับมา และร้าน 7-Eleven กลับมาเปิดให้บริการได้ตามเวลาปกติ โดยเฉพาะในส่วนของสาขาตามสถานีบริการน้ำมันที่มียอดขายฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ TACC ยังสามารถปรับ Product Mix ได้ดีอีกด้วย ขณะเดียวกันยังได้ปรับเพิ่มขนาดไซส์แก้วสำหรับเครื่องดื่มในมุม All Cafa เป็นขนาด 22 ออนซ์ จากเดิม 16 ออนซ์ โดยได้ทดสอบตลาดสำหรับการปรับไซส์แก้วราว 2,000 สาขาในเดือนมิ.ย. กระแสตอบรับค่อนข้างดี และตั้งแต่เดือน ก.ย.ปรับเพิ่มเป็น 7,800 สาขาทั่วประเทศ จะเห็นได้ว่าอัตรากำไรขั้นต้นของ TACC ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น แม้ยอดขายโดยรวมทั้งปี 63 จะปรับลดลงหลังจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงไตรมาส 2/63 ทำให้คาดว่าทั้งปีนี้กำไรของ TACC น่าจะเติบโตได้เมื่อเทียบกับปีก่อน

"ก็ต้องยอมรับว่า TACC มีการฟื้นตัวได้ดีตามการฟื้นตัวของร้าน 7-Eleven ที่ปัจจุบันมีการฟื้นตัวและกลับมาเปิดได้ตามเวลาปกติแล้ว ในขณะเดียวกันช่วงที่เหลือของปีนี้จะมีการเปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้ TACC ยังมีผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มวิตามินซีที่เติบโตมากจากการที่ประชาชนหันมาให้ความสนใจในสุขภาพมากขึ้นทำให้ยอดขายในส่วนนี้เติบโต ปีนี้จึงยังมีกำไรเติบโตได้จากการปรับกลยุทธ์ที่เหมาะสม แม้ว่ารายได้จะลดลงก็ตาม"นักวิเคราะห์ กล่าว

บล.โกลเบล็ก ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ผลประกอบการของ TACC ในไตรมาส 2/63 น่าจะผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และคาดกำไรในช่วงไตรมาส 3/63 จะทำจุดสูงสุดใหม่รายไตรมาสในรอบปีนี้ และเป็นระดับเติบโตกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการคลายล็อกดาวน์ทำให้กำลังซื้อกลับมาฟื้นตัว ประกอบกับมีการปรับ Product Mix และการขายท็อปปิ้ง อโลเวร่า เป็นเมนูเสริมบนเครื่องดื่ม ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 35% จากเดิมที่ 30-31%

นอกจากนี้ TACC ได้มีการปรับเพิ่มขนาดไซส์แก้วสำหรับเครื่องดื่มในมุม All Cafe เป็น 22 ออนซ์ จากเดิมที่มีเพียง 16 ออนซ์ โดยได้ลองทดสอบตลาดสำหรับการปรับไซส์แก้วไปแล้วราว 2,000 สาขาในไตรมาส 2/63 ซึ่งได้กระแสตอบรับค่อนข้างดี และตั้งแต่เดือน ก.ย.ปรับเพิ่มการขายเป็น 7,800 สาขาทั่วประเทศ

สำหรับภาพรวมกำไรสุทธิในปี 63 คาดว่าจะเติบโตได้ 19% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเป็นผลมาจากการที่บริษัทรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 34.5% สูงกว่าปีก่อนที่ 30.7% จากการปรับ Product Mix และการขายสินค้าใหม่ที่มีมาร์จิ้นเพิ่มขึ้น พร้อมกันนี้ยังได้รับงาน OEM ในการขายผงชงเครื่องดื่มให้กับ บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) ซึ่งเป็น Upside จากประมาณการ แม้ว่ารายได้อาจจะปรับตัวลดลง 10% จากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้มีการปิดเมืองในช่วงครึ่งปีแรก แต่อย่างไรก็ตามเริ่มกลับมาฟื้นตัวแล้วในช่วงครึ่งปีหลัง

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ