นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บมจ.แสนสิริ (SIRI) เปิดเผยว่า แผนการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ของบริษัทในช่วงครึ่งหลังของปี 2550 จะมีการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยม ในทำเลย่านธุรกิจกลางใจเมือง (CBD) 4 โครงการ โครงการคอนโดมิเนียมในย่านพักผ่อนตากอากาศอีกประมาณ 1-2 โครงการ มูลค่าการขายรวมประมาณ 5,000 ล้านบาท และโครงการบ้านเดี่ยวสำหรับลูกค้าระดับกลาง 1 โครงการ มูลค่าประมาณ 700 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังวางกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจผ่านบริษัทในเครือ อันได้แก่ บริษัทพลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัทพร้อมพัฒนา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด และบริษัทเรดโลตัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เพื่อดำเนินการพัฒนาโครงการประเภทคอนโดมิเนียม ทาวเฮ้าส์ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และวิลล่าตากอากาศ เพื่อตอบรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงระดับทั่วไป
สำหรับครึ่งปีแรก SIRI สร้างยอดขายโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งโครงการคอนโดมิเนียมในย่านธุรกิจกลางใจเมือง และคอนโดมิเนียมตากอากาศ บ้านเดี่ยว ทาวเฮ้าส์ และบ้านแฝด รวมถึงโครงการวิลล่าตากอากาศ รวม 35 โครงการ ที่มียอดขายรวมเกือบ 3,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าโครงการขายรวมเกือบ 12,000 ล้านบาท
นอกจากนี้กลุ่มบริษัทแสนสิริ ยังสามารถสร้างยอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Pre-sale backlog) จากโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม เป็นมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 1-3 ปี ซึ่งถือว่าเป็นฐานรายได้ที่สำคัญที่จะสร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจในอนาคตที่มั่นคง รวมถึงสามารถรองรับแผนการรุกสู่การเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มบริษัทแสนสิริที่วางไว้ได้เป็นอย่างดี
ช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทแสนสิริประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม อาทิ โครงการบ้านแสนปลื้ม-หัวหิน มูลค่าประมาณ 600 ล้านบาท ที่ปิดการขายได้ภายในระยะเวลาเพียง 1 สัปดาห์ และโครงการ SIRI at Sukhumvit by Sansiri คอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมใจกลางย่านสุขุมวิท มูลค่าโครงการประมาณ 3,200 ล้านบาทที่ปิดการขายได้ในช่วงเวลาไม่ถึง 1 เดือน
นอกจากนี้ยังมีโครงการคอนโดมิเนียมใหม่แบรนด์ My Condo ของบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้บริษัทในเครือ ที่เปิดในทำเลต่างๆ อาทิ ลาดพร้าว 27, สุขุมวิท 81, สุขุมวิท 52 และปิ่นเกล้า ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างมาก บางทำเลสามารถปิดการขายได้ภายใน 1-2 วัน เป็นต้น
ในขณะที่โครงการบ้านเดี่ยวก็มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายรวมเกือบ 300 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,600 ล้านบาท ส่วนโครงการทาวเฮ้าส์มียอดขายประมาณ 250 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าประมาณ 800 ล้านบาท ทั้งนี้เมื่อรวมทั้งไตรมาส 2 สามารถสร้างยอดขายที่อยู่อาศัยรวมทั้งสิ้นเกือบ 5,500 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินธุรกิจของบริษัทในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2550 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 2,921.1 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ในขณะที่มีกำไร 45.7 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทมีการลงทุนขยายโครงการที่อยู่อาศัย เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าทุกระดับความต้องการ รวมถึงมีการลงทุนทางด้านโฆษณาการตลาดและการประชาสัมพันธ์ค่อนข้างสูง เพื่อสร้างการรับรู้แก่ผู้บริโภคในแบรนด์สินค้าแต่ละประเภท ที่ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการขยายธุรกิจของบริษัท ให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/ศศิธร/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์:
[email protected]