KC เพิ่มบ้านราคา 2-3 ลบ., มีแผนเปิดตัว 2 โครงการใหม่ใน H2/50

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 16, 2007 10:56 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายอภิสิทธิ์ งามอัจฉริยะกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ. เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ (KC) เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การพัฒนาโครงการในครึ่งปีหลัง โดยได้เพิ่มแบบบ้านใหม่ในระดับราคาระหว่าง 2-3 ล้านบาท ในเฟสใหม่ของ 2 โครงการ ได้แก่ เค.ซี. พาร์ค วิลล์ ร่มเกล้า และเค.ซี. พาร์ควิว เทพารักษ์ จากเดิมที่โครงการเฟสแรกจะมีแต่บ้านระดับราคาตั้งแต่ 3 ล้านกว่าบาทขึ้นไปเท่านั้น เพื่อกระตุ้นยอดขายของบริษัทฯ ในปีนี้ ให้เติบโตใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ได้วางไว้มากที่สุด และให้สินค้าบ้านของ เค.ซี. มีรูปแบบและระดับราคาที่สอดรับกับความต้องการของตลาดในปัจจุบันมากขึ้น
นอกจากนี้ ในครึ่งปีหลังบริษัทฯ วางแผนจะจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายบ้านและทาวน์เฮ้าส์ทุกโครงการของเค.ซี.อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเปิดให้จอง (Pre—sale) อีก 2 โครงการใหม่ คือ เค.ซี. เนเชอรัล วิลล์ ซิตี้ รามคำแหง ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยว ราคาเฉลี่ย 5.3 ล้านบาท จำนวน 317 ยูนิต มูลค่ารวมโครงการประมาณ 1,680 ล้านบาทในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ และเค.ซี. สุวินทวงศ์ 2 เฟส 1 ซึ่งเป็นโครงการที่มีทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และอาคารพาณิชย์ ราคาเฉลี่ย 1.13 ล้านบาท จำนวน 440 ยูนิต มูลค่ารวมโครงการประมาณ 420 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการถมดินเพื่อปรับพื้นที่ โดยคาดว่าสำนักงานขายและบ้านตัวอย่างจะแล้วเสร็จ พร้อมเปิดให้เยี่ยมชมโครงการและจองได้ในไตรมาส 4 ปีนี้
"บริษัทฯ มั่นใจว่าผลประกอบการในครึ่งปีหลังน่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรกที่ผ่านมา"นายอภิสิทธ์ กล่าว
สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2550 พบว่า บริษัทฯ มีรายได้สุทธิ 348.93 ล้านบาท ลดลง 147.35 ล้านบาท เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2549 ซึ่งมีรายได้สุทธิ 496.28 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 46.46% เทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2549 ซึ่งอยู่ที่ 41.51% เนื่องจากบริษัทฯ สามารถบริหารจัดการต้นทุนในการก่อสร้างได้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากรายได้ที่ลดลงตามการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวม จึงมีทำให้ผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2550 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 40.20 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.05 บาท เทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2549 ที่มีกำไรสุทธิ 78.41 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.09 บาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ คาดหวังว่าจากความชัดเจนของสถานการณ์การเมือง ซึ่งมีการกำหนดระยะเวลาสำหรับจัดการเลือกตั้งที่ชัดเจนภายในปีนี้ ประกอบกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อาจปรับตัวลดลงอีก และทิศทางค่าเงินบาทที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้นนั้น ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยฟื้นความมั่นใจและกำลังซื้อของผู้บริโภคให้กลับมาอีกครั้งในครึ่งปีหลัง

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ