SCC คาดยอดขายทั้งปีติดลบใกล้เคียงช่วง 9 เดือนที่ -9% ,ยังเดินหน้า M&A

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday October 29, 2020 18:10 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

SCC คาดยอดขายทั้งปีติดลบใกล้เคียงช่วง 9 เดือนที่ -9% ,ยังเดินหน้า M&A

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือเอสซีจี เปิดเผยว่า แนวโน้มยอดขายของเอสซีจีปี 63 คาดว่าจะทำได้ใกล้เคียงกับช่วง 9 เดือนแรกที่ติดลบ 9% หลังสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน ทำให้ราคาเคมีภัณฑ์ปรับลดลงมาก ส่วนคาดการณ์ในปี 64 ยังอยู่ระหว่างการจัดทำแผนซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จใน 1-2 เดือนข้างหน้า ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกที่มีอยู่สูง

พร้อมกันนี้เอสซีจียังทบทวนแผนการดำเนินงานทุก 3 เดือนเพื่อปรับพอร์ตธุรกิจให้มีความเข้มแข็ง โดยการลงทุนใดที่ชะลอได้ก็จะชะลอออกไปก่อน แต่บางส่วนยังคงเดินหน้าโดยเฉพาะโครงการขยายกำลังการผลิตโอเลฟินส์แบบคอขวด ของโรงงานมาบตาพุดโอเลฟินส์ (MOC Debottleneck) ซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิตโอเลฟินส์เพิ่มขึ้น 3.5 แสนตัน/ปี และช่วยทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economy of scale) ปัจจุบันมีความคืบหน้าแล้ว 97% และโครงการปิโตรเคมีครบวงจร Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ที่เวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพด้านตลาดและเศรษฐกิจที่เติบโต ปัจจุบันมีความคืบหน้าแล้วกว่า 55%

นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นเรื่องการเข้าซื้อกิจการ (M&A) เพราะเห็นโอกาสการเข้าซื้อกิจการ จะทำให้มีฐานของธุรกิจได้ทันที ขณะเดียวกันทำให้มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ,ภาษี,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) หรือกำไรเข้ามาทำทันทีด้วยเช่นกัน

"ยอดขายปี 64 ปัจจุบันอยู่ระหว่างทำแผน แต่อย่างที่เรารู้กันว่าสถานการณ์มีความไม่แน่นอนสูง ตลาดโลกเริ่มเห็นในบางกลุ่มประเทศเริ่มเจอการระบาดของโควิดระลอกสอง จะส่งผลถัดมาแน่นอน พอเริ่มล็อกดาวน์บางส่วน ก็จะส่งผลกระทบเชิงเศรษฐกิจตามมา เห็นว่ายังมีความท้าทาย เราอยู่ระหว่างปรับปรุงตัวเลขนี้สัก 1-2 เดือน เป้าหมายปีหน้าน่าจะทำตัวเลขสำเร็จ ส่วนปีนี้ 9 เดือนแรกเรา -9% แต่ในด้านวอลุ่มไม่มีผลกระทบมากนัก เราสามารถรักษาสภาพการขายการผลิตได้ดีระดับหนึ่ง...แต่ธุรกิจเคมิคอลส์ ราคาสินค้าลดลงตามราคาน้ำมัน ปีนี้คงจะยากที่จะตีตื้นมาได้ทั้งปีคงจะใกล้เคียงกับ 9 เดือนที่ -9%"นายรุ่งโรจน์ กล่าว

เอสซีจี รายงานผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 63 มีรายได้จากการขาย 3.03 แสนล้านบาท ลดลง 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ลดลงตามราคาน้ำมันที่ลดลง และมีกำไร 2.61 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และธุรกิจแพ็คเกจจิ้ง

ส่วนทั้งปี 62 เอสซีจี มีรายได้จากการขายที่ระดับ 4.38 แสนล้านบาท

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อ 3 ธุรกิจหลักของเอสซีจีทั้งในเชิงบวกและลบ โดยธุรกิจเคมีภัณฑ์ ได้รับผลกระทบเชิงบวก สำหรับเคมีภัณฑ์ที่มุ่งเน้นด้านสุขภาพและบรรจุภัณฑ์ ส่วนการผลิตเข้าไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก แต่ปัจจุบันเริ่มฟื้นตัว รวมถึงจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่ก็ฟื้นตัวขึ้นรวดเร็ว ขณะที่ในด้านต้นทุน ได้รับผลกระทบเชิงบวกจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลงทำให้ต้นทุนแนฟทาลดลงด้วย ส่งผลให้ส่วนต่าง (สเปรด) ผลิตภัณฑ์สูงขึ้นและมีแนวโน้มดีช่วง 3-6 เดือนที่ผ่านมา

ด้านธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง สำหรับการก่อสร้างที่พักอาศัยและตลาดเชิงพาณิชย์ ได้รับผลกระทบค่อนข้างหนัก แต่ในด้านงานของภาครัฐที่มีการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ นั้นได้รับผลกระทบน้อย และภาครัฐยังมีแนวโน้มที่จะเร่งทำโครงการโครงสร้างพื้นฐานออกมาต่อเนื่อง ส่วนธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบเชิงบวกทั้งในด้านของบรรจุภัณฑ์อาหาร และตลาดอีคอมเมิร์ซ ส่วนบรรจุภัณฑ์ที่เข้าไปในกลุ่มยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ยังคงได้รับผลกระทบ

ส่วนปัจจัยจากสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองในปัจจุบัน ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องติดตามสถานการณ์ต่อเนื่อง โดยจากสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นทำให้มองว่าเศรษฐกิจไทยปี 64 ยังมีความผันผวนและไม่แน่นอนสูง เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังอิงกับภาคการท่องเที่ยว โดยยังคงต้องติดตามเรื่องความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 ซึ่งเบื้องต้นคาดหวังว่าจะมีออกมาใช้ในปี 64 และหากมีการควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ได้ดีควบคู่กันไปด้วย ก็มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยและภูมิภาคจะฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ ซึ่งเอสซีจีก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือเพื่อเป็นส่วนหนึ่งให้สังคมไทยผ่านพ้นช่วงวิกฤติเศรษฐกิจไปให้ได้

สำหรับความคืบหน้าการร่วมมือกับกลุ่มดาว ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมปิโตรเคมีระดับโลก ถึงโอกาสการจัดตั้งโรงงานรีไซเคิลนั้น ขณะนี้มีความคืบหน้าบ้างแล้ว คาดว่าจะเปิดเผยรายละเอียดได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 64 ขณะที่การลงทุนปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ แห่งที่ 2 ในอินโดนีเซียนั้น ยังต้องรอพันธมิตรหลักทางอินโดนีเซียเป็นผู้ประกาศโครงการ ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการศึกษาและดูรายละเอียด โดยเอสซีจี ได้ร่วมลงทุน 30% กับพันธมิตรอินโดนีเซียในโครงการแรกในนามของ PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP)

ในส่วนของโรงงานปูนซีเมนต์ Mawlamyine Cement Limited (MCL) ที่เมียนมา ได้หยุดการผลิตปูนซีเมนต์ชั่วคราว เนื่องจากอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาทกับหุ้นส่วนท้องถิ่นเกี่ยวกับการจัดหาวัตถุดิบนั้น แทบจะไม่มีผลกระทบต่อสถานะทางเงินและการดำเนินธุรกิจของเอสซีจี เนื่องจากกำลังการผลิตปูนซีเมนต์ในเมียนมามีเพียงแค่ 1.8 ล้านตัน/ปี เมื่อเทียบกับกำลังการผลิตรวมของเอสซีจีที่มีกว่า 30 ล้านตัน/ปี

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า ธุรกิจเคมีภัณฑ์ ฟื้นตัวดีขึ้นหลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย เป็นผลมาจากกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร ยานยนต์ และสินค้าคงทนกลับมาดีขึ้นในไตรมาสที่ 3 โดยธุรกิจเร่งพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงให้มีสัดส่วนที่สูงขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่ฟื้นตัว ตลอดจนเร่งพัฒนาออกแบบสินค้าให้ตอบโจทย์เศรษฐกิจหมุนเวียน ขณะที่ยังคงความสามารถในการบริหารจัดการธุรกิจที่ยืดหยุ่น เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด ควบคู่กับดำเนินการบริหารความต่อเนื่องของธุรกิจด้วยมาตรการที่เข้มแข็ง ส่งผลให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องทั้งในไทยและต่างประเทศ

ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ยังสามารถสร้างรายได้และเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยสินค้าและบริการ พร้อมโซลูชันครบวงจร (End-to-End Service Solution) ขณะที่ SCG Solar Roof Solutions ระบบหลังคาโซลาร์จากเอสซีจี มียอดขายเติบโต 4 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะช่วยประหยัดค่าไฟให้กับเจ้าของบ้านได้สูงสุดถึง 60% รวมถึงธุรกิจยังเดินหน้าพัฒนาช่องทางค้าปลีกในรูปแบบ Active Omni-Channel ที่เชื่อมต่อช่องทางออนไลน์ SCGHOME.com กับเครือข่ายร้านค้าปลีกรูปแบบแฟรนไชส์ของ SCG HOME 17 แห่งทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า

ธุรกิจแพ็คเกจจิ้ง กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเข้าซื้อ Bien Hoa Packaging Joint Stock Company (SOVI) ในเวียดนาม คาดว่าการทำธุรกรรมจะแล้วเสร็จภายในเดือน ธ.ค.นี้ ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและสร้างความสามารถในการแข่งขันให้ธุรกิจครอบคลุมทั้งภูมิภาคอาเซียน รวมถึงตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครบวงจร นอกจากนี้ ธุรกิจก็มุ่งพัฒนาบรรจุภัณฑ์ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น บรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัว OptiSorb-X ที่ช่วยคงคุณภาพของสินค้า และยืดอายุการเก็บสินค้าให้ยาวนานขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ