หุ้น GULF ราคาพุ่งขึ้น 5.60% มาอยู่ที่ 33.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.75 บาท มูลค่าซื้อขาย 702.98 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.12 น. โดยเปิดตลาดที่ 31.75 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 33.00 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 31.50 บาท
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์นแนะ "ซื้อ" หุ้น บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) คาดกำไรปกติไตรมาส 3/63 ราว 1,300 ล้านบาท เติบโต 7.0% QoQ และ 28.0% YoY เป็นระดับสูงสุดใหม่ เนื่องจากรายได้จากการขายไฟฟ้าให้กับกลุ่มลูกค้าภาคอุตสาหกรรม (IU) เริ่มฟื้นตัว และกลับมาเป็นปกติแล้วในเดือน ก.ย. ต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติลดลง และมีเงินปันผลจาก INTUCH เข้ามาเป็นไตรมาสแรก
แนวโน้มไตรมาส 4/63 อาจยังทรงตัวได้ QoQ ถึงลงเพียงเล็กน้อย จากปกติที่ไตรมาส 4 จะลดลง 30% QoQ เนื่องจากปีนี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีหยุดซ่อมบำรุงในช่วง 9M63 ทำให้ Q4/63 อาจมีการซื้อไฟมากกว่าทุกปีเพื่อให้ถึงยอด Minimum take or pay, รายได้จากลูกค้ากลุ่ม IU (10%) ฟื้นตัว QoQ และเติบโต YoY จากกลุ่มยานยนต์ที่เติบโต, ต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติลดลงอีกใน Q4/63 หนุนอัตรากำไรขั้นต้น อีกทั้งเริ่มรับรู้รายได้ธุรกิจพลังงานลมในเยอรมันเป็นไตรมาสแรก โดยประเมินเบื้องต้นที่ราว 200-300 ลบ. แม้ว่าจะเป็น High season ของลมในเยอรมัน แต่คาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับธุรกรรมการซื้อกิจการเกิดขึ้นทำให้ยังรับรู้กำไรได้ไม่เต็มที่
ทั้งนี้ ยังให้เป็นหุ้นเด่นด้านการเติบโตสำหรับการลงทุนระยะยาว จะเริ่มเห็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ YoY ตั้งแต่ไตรมาส 3/63 ป็นต้นไป บนกำลังการผลิตที่มีอยู่ในปัจจุบัน ขณะที่ฐานทุนที่ใหญ่ขึ้น กระแสเงินสดจำนวนมากจากการเพิ่มทุน ทำให้คาดว่าจะเห็นโครงการใหม่ ๆ ขนาดใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศต่อเนื่องในปี 2564 ทั้งที่ COD แล้ว และโครงการใหม่ ซึ่งจะทำให้การเติบโตของ GULF มากกว่าที่ Consensus คาด และจะทำให้ PER ลดลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งหมดประเด็นเรื่องการเพิ่มทุนมากดดัน Upside ของราคาหุ้นอีก โดยให้ราคาเป้าหมาย 40.75 บาท
นอกจากนี้ มองว่าการชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐของนายโจ ไบเดน จะเป็นบวกต่อ GULF มากที่สุด เพราะมีโรงไฟฟ้าในยุโรปแล้ว มีพันธมิตรคือ Orsted ซึ่งเป็นผู้ประกอบการพลังงานลมรายใหญที่สุดของโลก ทำให้ GULF มีโอกาสได้โครงการใหม่ๆ ทั้งในยุโรปและสหรัฐฯ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาโครงการในสหรัฐฯและยุโรป