MDX หวังปี 56 โตกระโดดจากธุรกิจไฟฟ้าในลาว/หาผู้ร่วมลงทุนเขื่อนสาละวิน

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 23, 2007 17:19 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บมจ. เอ็ม ดี เอ็กซ์ (MDX) คาดหวังโครงการโรงไฟฟ้าน้ำงึม 3 และ โครงการส่วนต่อขยายโครงการเทิน-หินบุน จะช่วยผลักดันบริษัทเติบโตก้าวกระโดดในปี 56 หลังจากเริ่มเดินเครื่อง แต่ในช่วงปี 50 จนถึงปี 56 ผลประกอบการยังคงทรงตัว เพราะยังไม่มีโครงการใหม่ โดยแต่ละปีลุ้นทำรายได้จากการขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรม ตั้งเป้าขายได้อย่างน้อยปีละ 30 ไร่ จากปัจจุบันที่มีที่ดินพร้อมขาย 600 ไร่ 
นายปรีชา เศขรฤทธิ์ กรรมการบริหาร MDX เปิดเผยว่า โครงการน้ำงึม 3 ซึ่งเป็นโครงการสร้างเขื่อนผลิตไฟ้พลังน้ำขนาด 440 เมกะวัตต์ในลาว คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 56 โดยเริ่มจ่ายไฟให้การไฟฟ้าฝ่ายการผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) จากที่จะเริ่มก่อสร้างในปี 52 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาค่าไฟฟ้ากับกฟผ.
ขณะที่ส่วนต่อขยายโครงการเทิน-หินบุน ซึ่งสิทธิในการขยายกำลังการผลิตเท่าตัวจาก 210 เมกะวัตต์ เป็น 420 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ หากเจรจาค่าไฟได้ก็จะมีการเจรจากับการร่วมทุนของพันธมิตรชัดเจนขึ้น แต่ยังไม่กำหนดจะสร้างเมื่อใด รวมถึงเงินลงทุน ขึ้นกับแผนการรับซื้อไฟจากกฟผ.แต่โดยทั่วไปจะใช้เงินลงทุน 1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อ 1 เมกะวัตต์
"รายได้และกำไรสุทธิจเริ่มก้าวกระโดดในปี 56 แต่ในช่วงนี้รายได้จากไฟฟ้าก็ยังมาจากโครงการเดิม แต่เรามีสินค้าพร้อมขาย ซึ่งถ้าผลักดันยอดขายที่ดินนิคมฯก็จะช่วยผลประกอบการดีขึ้น ดังนั้นในช่วง 5 ปีนี้ก็คงไม่มีอะไรหวือหวาจนกว่าโครงการใหม่จะเข้ามา"นายปรีชา กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าคิดเป็น 60% และจากยอดขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรม 40% อนาคตหากบริษัทดำเนินโครงการเกี่ยวกับไฟฟ้าใหม่ก็จะทำให้สัดส่วนเปลี่ยนไป
ทั้งนี้ โครงการเทิน-หินบุนที่บริษัทลงทุนผ่านบริษัท เอ็ม ดี เอ็กซ์ ลาว จำกัด ถือหุ้น 20% และได้สิทธิขยายโครงการ ส่วนโครงการน้ำงึม 3 มีมูลค่าโครงการ 708 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเอ็ม ดี เอ็กซ์ ลาว ถือหุ้น 27%
สำหรับโครงการสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำที่สาลาะวินในสหภาพพม่า บริษัทได้ศึกษามาระยะหนึ่ง ต้องยอมรับว่าต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก เพราะเป็นโครงการขนาดใหญ่ รวมทั้งกำลังหาผู้ร่วมทุนที่จะมาช่วยด้านการเงินและเทคนิค ส่วนกลุ่มพันธมิตรก็ยังไม่ได้หารือกันในรายละเอียด
"เราคงต้องหาโอกาสขยายธุรกิจได้แค่ไหน ส่วนที่จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับผลการศึกษา โครงการขนาดใหญ่ ก็ต้องมีผู้ร่วมทุนเข้ามาแต่ยังไม่มีข้อมูลชัดเจน มองแต่เพียงว่ามีโอกาสที่จะดำเนินโครงการได้ ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาประเมินอีกครั้ง รวมถึงเงินลงทุน"นายปรีชา กล่าว
ทั้งนี้ ธุรกิจไฟฟ้าบริษัทจะลงทุนผ่าน บริษัท จี เอ็ม เอส เพาเวอร์ จำกัด โดย MDX ถือ 32%
*คาดรายได้ปีนี้ใกล้เคียงปีก่อน/ขายที่ดินนิคมฯชะลอ
นายปรีชา คาดว่า รายได้ปีนี้ใกล้เคียงปีก่อน 893 ล้านบาท โดยรายได้จากการขายไฟฟ้าให้ กฟผ.ได้ค่อนข้างแน่นอน ขณะที่การขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ จ.ฉะเชิงเทราในช่วงไตรมาส 2 เริ่มชะลอตัว และครึ่งปีหลังยังไม่มั่นใจว่าจะขายได้มากน้อยเพียงใด จากไตรมาสแรกขายได้แล้ว 25 ไร่ ขณะที่บริษัทตั้งเป้าขายได้อย่างน้อยปีละ 30 ไร่ และปัจจุบันที่มีที่ดินพร้อมขาย 600 ไร่
"ปีนี้คิดว่าไม่น่าจะโต คือโครงสร้างรายได้ต่างๆ เหมือนเดิม และโครงการรายได้หลักไฟฟ้าก็ยังเป็นโครงการเดิม"
นายปรีชา กล่าว
จากงบการเงินรวมปี 49 MDX แจ้งว่ามีรายได้จากขายที่ดิน 285 ล้านบาท และ ขายไฟฟ้าประมาณ 536 ล้านบาท และรายได้อื่น ๆ โดยยอดขายที่ดินอยู่ที่ 72 ไร่ ส่วนกำไรหลังหักภาษีอยู่ที่ 408 ล้านบาท
นายปรีชา กล่าวว่า ในช่วงนี้ยอดขายที่ดินชะลอตัว เนื่องจากต่างชาติชะลอดูความชัดเจนของการเมือง ซึ่งเป็นโมเมนตัมเก่าที่ค้างอยู่ตั้งแต่ช่วงปลายปี 49 (ตอนปฏิวัติ) ซึ่งคนลงทุนก็เหมือนคนปลูกบ้าน ก็ต้องดูสถานการณ์ให้แน่นอนก่อน
อย่างไรก็ดี ลูกค้าของบริษัทกระจายไปในหลายกลุ่ม แต่ส่วนใหญู่เป็นผู้ประกอบการจากญี่ปุ่น เกาหลี และ สิงคโปร์
ส่วนขาดทุนสะสมที่มีอยู่ 4.2 พันล้านบาทนั้น นายปรีชา คาดว่า จะนำกำไรจากการดำเนินงานมาทยอยล้างขาดทุนสะสม แต่ยังไม่มีแผนแน่นอนจะล้างขาดทุนได้หมดเมื่อไร แต่ช่วงนี้ก็คงยังจ่ายเงินปันผลไม่ได้

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ