JMT-W3 ปิดเทรดวันแรกที่ 4.66 บาท มูลค่าซื้อขาย 60.44 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 6.00 บาท ราคาขึ้นสูงสุด 6.40 บาท และราคาลงต่ำสุด 4.44 บาท
ขณะที่หุ้น JMT ปิดที่ 32.75 บาท ลดลง 0.50 บาท (-1.50%) มูลค่าซื้อขาย 149.85 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 33.00 บาท ราคาขึ้นสูงสุด 33.50 บาท และราคาลงต่ำสุด 32.75 บาท
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ฯประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ ของบมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) หรือ JMT-W3 ที่ 5.39 บาท (BSM) อิงราคาหุ้นแม่ที่ 33.25 บาท โดยมีความผันผวนของหุ้นแม่ที่ 52% ในด้านของต้นทุนผู้ได้รับ JMT-W3 อยู่ที่ 7.32 บาท (ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 0.75 บาทในวันที่ 9 พ.ย. ในอัตราส่วน 9.76092 หุ้นต่อ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ) ณ มูลค่าที่เหมาะสมคิดเป็น All-in Premium ที่ 42.53% โดยตลาดให้มูลค่าที่เหมาะสมของ JMT ที่ 41.60 บาท และด้วยอัตรา Eff.Gearing ที่ 2.92 เท่า ทำให้มองว่า JMT จะเหมาะสำหรับการเก็งกำไรในระยะสั้นมากกว่าการลงทุนในระยะยาวจากราคาใช้สิทธิที่สูง, อายุที่สั้น และ Time Decay
พร้อมให้กรอบมูลค่า JMT-W3 ไว้ที่ 5.34-5.44 บาท เมื่อราคาหุ้น JMT เคลื่อนไหวในกรอบ 33.15-33.35 บาท โดยมี Volatilily 52% per year
JMT-W3 จำนวนที่ออก 99.99 ล้านหน่วย จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 9.76092 หุ้นเดิม : 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ อัตราใช้สิทธิ 1 : 1 @ 42.00 บาท อายุ 1.5 ปี โดยสามารถใช้สิทธิได้ในทุกวันทำการสุดท้ายของทุกไตรมาส (ใช้สิทธิได้ครั้งแรกในวันที่ 31 มี.ค. 2564 และหมดอายุในวันที่ 16 พ.ค. 2565)
JMT ประกอบธุรกิจ 3 ประเภทหลัก ได้แก่ 1) ธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ บริษัทให้บริการแก่ผู้ว่าจ้างที่เป็นสถาบันการเงิน และผู้ประกอบการต่างๆ ซึ่งประสงค์จะให้บริษัทฯ ติดตามและดำเนินการให้ลูกหนี้ของผู้ว่าจ้างชำระคืนหนี้ ขอบเขตการให้บริการ ครอบคลุมถึงการรับจ้างติดตามและจัดเก็บหนี้ รวมถึงงานด้านกฎหมาย ได้แก่ ฟ้องและสืบทรัพย์คดี 2) ธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ โดยซื้อหนี้ด้อยคุณภาพจากสถาบันการเงิน หรือบริษัทต่างๆ และนำมาบริหารจัดเก็บหนี้ 3) ธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ โดยเน้นให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ใช้แล้วทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถกระบะ และเน้นปล่อยสินเชื่อให้แก่บุคคลธรรมดา โดยเป็นการ spin off มาจาก JMART