PODCAST: Weekly Highlight (14-18 ธ.ค.) ตลาดกระทิงเริ่มพักเหนื่อย คนไม่มีของ แนะระวังตัว

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday December 14, 2020 08:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

"Weekly Highlight" สัปดาห์นี้ (14-18 ธ.ค.) มาเจาะลึกกับข่าวสารสำคัญ ในรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 14 ธันวาคม 2563

เริ่มต้นกับการสรุปภาพรวมตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่แล้ว (8-9 ธ.ค.) SET INDEX ปิดที่ระดับ 1,482.67 จุด เพิ่มขึ้น 2.27% จากสัปดาห์ก่อน โดยกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มขึ้น 24.37% รองลงมาคือกลุ่มวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร เพิ่มขึ้น 5.58% และสุดท้ายคือกลุ่มเหล็ก เพิ่มขึ้น 2.77%

แม้ว่าในสัปดาห์ก่อนตลาดหุ้นไทยจะเปิดซื้อขายเพียง 2 วันทำการเท่านั้น แต่ด้วยกระแสการไหลเข้าของเม็ดเงินจำนวนมาก เป็นส่วนผลักดันให้ดัชนีฯสามารถทะยานเหนือ 1,500 จุดได้ตามคาด ก่อนจะเผชิญกับแรงขายทำกำไรสลับออกมาเป็นระยะของผู้ลงทุนบางกลุ่ม เพื่อลดความเสี่ยงก่อนเข้าสู่วันหยุดยาว ส่งผลให้ดัชนีฯกลับมาปิดบวกได้แค่เล็กน้อยเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์หลายสำนัก ต่างยังคงให้น้ำหนักเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ สะท้อนผ่านมุมมองถึงความเป็นไปได้ต่อการฟื้นตัวของดัชนีฯมีลุ้นขึ้นไปทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 1,500 จุดได้อีกครั้งและหากผ่านได้มีลุ้นขึ้นไปทดสอบด่านถัดไปที่ 1,530 จุด โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญคือแรงซื้อของกลุ่มผู้ลงทุนต่างชาติที่ส่งสัญญาณเข้าซื้อหุ้นกลุ่มบิ๊กแคปอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มผู้ลงทุนในประเทศ

แม้ว่าความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนที่เพิ่มขึ้นจะเป็นตัวแปรสนับสนุนบรรยากาศการลงทุนในช่วงนี้ แต่จากการฟื้นตัวอย่างร้อนแรงของดัชนีตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤจิกายนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณเตือนถึงโอกาสของการพักฐานในช่วงสั้น พร้อมกับแนะเกาะติดกับปัจจัยสำคัญที่จะมีผลกระทบต่อจิตวิทยาของผู้ลงทุน อาทิ ความคืบหน้าผลการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ให้กับประชาชนกลุ่มแรก รวมไปถึงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ในช่วงกลางสัปดาห์นี้ (15-16 ธ.ค.) ว่าจะแสดงท่าทีผ่อนคลายการใช้นโยบายการเงินเพิ่มเติมอีกหรือไม่ ภายหลังจากที่ฝั่งนโยบายการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมผลักดันงบประมาณชุดใหญ่เพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจอีกระลอกเพื่อหวังฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วในยุคสมัยของ นายโจ ไบเดน ซึ่งเป็นผู้คว้าชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯคนล่าสุด

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ประเมินภาพรวม SET INDEX รอบสัปดาห์นี้มองเห็นโอกาสของการฟื้นตัว แต่ด้วยความเปราะบางจากแรงซื้อที่มากเกินไป อาจเป็นตัวแปรหลักเพิ่มความเสี่ยงให้ตลาดหุ้นไทยต้องกลับมาเคลื่อนไหวในกรอบต่ำกว่า 1,500 จุดอีกครั้ง

"แม้ว่ากรณีดัชนีตลาดหุ้นไทยผ่าน 1,500 จุดอาจจะวิ่งขึ้นไปหาแนวต้านถัดไปที่ 1,530 จุด แต่เชื่อว่าการปรับตัวขึ้นยืนเหนือ 1,500 จุดอย่างแข็งแรงคงไม่ได้ใช้เวลารวดเร็ว และบางช่วงอาจจะเห็นการพักฐานลงมาต่ำกว่า 1,500 จุดอีกครั้ง อย่างไรก็ตามเวลานี้ต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นไทยถูกขับเคลื่อนด้วยสภาพคล่องเข้ามาเป็นมาก ดังนั้นการจะเอาเหตุผลใดเหตุผลหนึ่งมาหยุดยั้งคงยากจะคาดเดา เพราะเวลาที่สภาพคล่องเข้ามาจะวิ่งชนตัวแปรต่างๆกระเด็นไปหมดเหมือนกัน"นายมงคล กล่าว

สำหรับกลยุทธ์ของผู้ลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นติดในพอร์ตควรเลือกซื้อหุ้นแค่สัดส่วน 40% ของจำนวนหุ้นที่ต้องการลงทุนเท่านั้น ส่วนที่เหลือค่อยรอเข้าซื้อช่วงตลาดปรับฐานรอบใหม่วางแนวรับอยู่ที่ 1,470 จุด และธีมหุ้นที่ยังน่าสนใจคือหุ้นอิงเศรษฐกิจฟื้น เช่น หุ้นธนาคารพาณิชย์ และปิโตรเคมี แต่ด้วยมูลค่าหุ้นที่ปรับตัวขึ้นไปสูง ควรวางกลยุทธ์ด้วยการกำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) เสมอ

สำหรับสัปดาห์นี้ (14-18 ธ.ค.) ธนาคารกสิกรไทยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 29.80-30.20 บาทต่อดอลลาร์ฯประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณการดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ(15-16 ธ.ค.) กระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ตลอดจนปัจจัยทางการเมืองและสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลสำรวจกิจกรรมภาคการผลิตของธนาคารกลางสหรัรฐ (เฟด) นิวยอร์กผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเดือนธ.ค. ข้อมูลยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม และตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านเดือน พ.ย.

นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) การเจรจาข้อตกลงการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ข้อมูลเศรษฐกิจเดือนพ.ย.ของจีน รวมถึงดัชนี PMI เบื้องต้นสำหรับเดือนธ.ค. ของสหรัฐฯ ยูโรโซนและอังกฤษเช่นกัน

https://youtu.be/NroE5Tcc4Sc


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ