(เพิ่มเติม) SINGER คาดปี 50 ขาดทุนลดลงเหลือ 400-500 ลบ.จาก 1.26 พันลบ.ในปี 49

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday September 20, 2007 14:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายบุญยง ตันสกุล  ผู้อำนวยการฝ่ายการขายและการตลาด บมจ.ซิงเกอร์ ประเทศไทย  (SINGER) คาดว่า ในปีนี้จะมีขาดทุนสุทธิลงเหลือประมาณ 400-500 ล้านบาท หลังจากบริษัทได้ยกเลิกธุรกิจจำหน่ายและเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ที่เป็นสาเหตุหลักให้บริษัทต้องเผชิญกับปัญหาขาดทุนถึง 1,269 ล้านบาทในปี 49 
ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้พยายามเร่งระบายรถจักรยานยนต์ที่ยึดคืนมาจากลูกหนี้ค้างชำระเกินกำหนดประมาณ 4 หมื่นคัน จนปัจจุบันเหลือในระบบ 7-8 พันคันแล้ว โดยจำหน่ายออกมาเป็นรถจักรยานยนต์มือสอง
"คาดว่าปีนี้สัดส่วนรายได้จะมาจากธุรกิจเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า 65% และจักรยานยนต์ 35% โดยประมาณการรายได้ปีนี้ที่ 3 พันล้านบาท จากปีก่อนที่ 4 พันล้านบาท" นายบุญยง กล่าว
นายบุญยง กล่าวว่า หลังจากเกิดปัญหาหนี้เสียในการปล่อยสินเชื่อรถจักรยานยนต์ ทำให้บริษัทจะต้องมีการระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อและตรวจสอบเครดิตลูกค้าเพิ่มมากขึ้น โดยมีการตั้งหน่วยงานขึ้นมาตรวจสอบโดยเฉพาะ และในปี 51 อาจจะกลับมาทำธุรกิจรถจักรยานยนต์มือ 1 อีกครั้ง เพราะยังเห็นว่าเป็นธุรกิจที่น่าสนใจเนื่องจากตลาดผู้ใช้ในประเทศไทย โดยเฉพาะในต่างจังหวัดมีขนาดใหญ่มาก
ปัจจุบัน ลูกค้าหลักของบริษัทเป็นกลุ่มเกษตรกร และต่างจังหวัด 70% กลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกราม 20% ลูกค้าทั่วไป 10%
นายบุญยง กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทยังได้เปิดบริการใหม่ Singer Rental Service ให้เช่าใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องทำความเย็น อาทิ ตู้เย็น ตู้แช่เย็น ตู้แช่แข็ง ตู้แช่ไวน์ และจักรเย็บผ้า ซึ่งจะทำให้ปีนี้บริษัทมีรายได้เพิ่มเข้ามาจากบริการส่วนนี้ 30-40 ล้านบาท เนื่องจากที่ผ่านมา ยังไม่มีใครริเริ่มทำธุรกิจนี้และบริษัทมีลูกค้าที่เป็นบริษัทรับจัดงานอีเวนท์อยู่แล้วบางส่วน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทจะมีผลขาดทุนนับแต่ปี 49 และปีนี้คาดว่าจะขาดทุนอีก แต่บริษัทก็เชื่อมั่นว่ามีกระแสเงินสดเพียงพอในการบริหารงาน โดยมีกระแสเงินสดต่อเดือน 150-200 ล้านบาท และมีหนี้สิน 1.5 พันล้านบาท แต่เป็นหนี้สินหมุนเวียนในการซื้อสินค้า โดยบริษัทมีวงเงินหุ้นกู้ที่เคยขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นไว้ประมาณ 3 พันล้านบาท แต่ก็ไม่ได้ออกในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา และขณะนี้ยังไม่มีแผนที่จะออก
"ยอมรับว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาธุรกิจของบริษัทค่อนข้างซบเซาจึงไม่มีการโปรโมทหุ้นเท่าที่ควร ทำให้ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนไม่ค่อยรู้จัก แต่หลังจากนี้จะพยายามทำกิจกรรมต่อนักลงทุนเพิ่มมากขึ้น นอกจากนั้นยังอาจเป็นเพราะฟรีโฟลตในตลาดน้อยทำให้ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร และจากราคาปิดวานนี้ที่ 1.74 บาท ถือว่าราคาต่ำกว่า Book Value 3.10 บาทค่อนข้างมาก" นายบุญยง กล่าว
นอกจากนี้ นายบุญยง ยังได้ปฏิเสธกรณีมีกระแสข่าวการเจรจาพันธมิตรร่วมทุน โดยระบุว่าบริษัทยังไม่ได้รับการติดต่อจากนักลงทุนรายใด

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ