หุ้น KTC ราคาไหลลง 4.55% มาอยู่ที่ 73.50 บาท ลดลง 3.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 791.47 ล้านบาท เมื่อเวลา 11.24 น. โดยเปิดตลาดที่ 76.00 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 76.25 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 73.50 บาท
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯปรับลดคำแนะนำสำหรับบมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) เป็น"ขาย"เนื่องจากราคาหุ้นขยับขึ้นมาเกินปัจจัยพื้นฐานแล้วหลังจากที่พุ่งขึ้น 101% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา พร้อมปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 46 บาท (P/BV ปี 64 ที่ 4.5 เท่า, P/E 20 เท่า และ ROE 26%) จาก 41 บาท หลังจากเพิ่มคาดการณ์กำไรในปี 64-65 ขึ้น 2% เพื่อสะท้อนการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตและคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นในไตรมาส 4/63
ทั้งนี้ คาดการณ์การเติบโตของสินเชื่อและการใช้จ่ายผ่านบัตรเติบโต 8% ในปี 64 แต่เชื่อว่า NIM จะยังคงถูกกดดันจากผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงทั้งปี (ธปท.ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ส.ค.62) โดยปรับเพิ่มประมาณการผลประกอบการขึ้น 2% สำหรับปี 64-65 เพื่อสะท้อนการเติบโตของสินเชื่อที่สูงขึ้นและการเติบโตของ non-NII จึงคาดว่า EPS จะเติบโต 11% YoY ในปี 64-65 สำหรับสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ KTC จะค่อยๆ ขยายพอร์ตและตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อ 1 พันล้านบาทในปีนี้
KTC รายงานกำไรสุทธิ 1.32 พันล้านบาทในไตรมาส 4/63 เพิ่มขึ้น 8% QoQ และทรงตัว YoY กำไรปี 63 ลดลง 3% YoY เป็น 5.3 พันล้านบาท (EPS: 2.07 บาท) สินเชื่อเพิ่มขึ้น 5.0% YoY และ 6.9% QoQ ในขณะที่ NIM ลดลง 40bps QoQ มาอยู่ที่ 15.6% ในไตรมาส 4/63 นำโดยอัตราผลตอบแทนสินเชื่อที่ลดลง การใช้จ่ายผ่านบัตรของ KTC ลดลง 7.7% YoY ในปี 63 เทียบกับ -13.1% สำหรับอุตสาหกรรมใน 11 เดือนแรกของปี 63 ในแง่บวก การใช้จ่ายผ่านบัตรหดตัวเพียง 3-4% ในเดือน พ.ย. - ธ.ค. 63 รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเติบโต 5% QoQ โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของหนี้เสียได้รับคืนที่แข็งแกร่งในไตรมาส 4/63 Opex ลดลง 6% YoY ในปี 63 เนื่องจากค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่ลดลง อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ลดลงเหลือ 32.9% ในปี 63 จาก 34.1% ในปี 62