UAC ตั้งเป้าปี 64 รายได้เพิ่มกว่า 10%-EBITDA ไม่ต่ำกว่า 18% ของยอดขาย

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday January 26, 2021 11:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชัชพล ประสพโชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ยูเอซี โกลบอล (UAC) เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจปี 2564 คาดว่ามีอัตราการเติบโตในทิศทางที่ดีขึ้น โดยตั้งเป้าหมายรายได้รวมเพิ่มขึ้นกว่า 10% เมื่อเทียบจากปีก่อน พร้อมทั้งตั้งเป้ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ไม่ต่ำกว่า 18% ของยอดขาย เป็นผลจากการบริโภคมีสัญญาณที่ดีขึ้น เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของ UAC สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งโรงกลั่นน้ำมัน โรงงานปิโตรเคมี พลังงาน และเคมีภัณฑ์ ดังนั้น เมื่อการบริโภคฟื้นตัว ส่งผลให้ความต้องการปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อธุรกิจเทรดดิ้ง และ ธุรกิจเคมีภัณฑ์ ของบริษัท

ส่วนแผนการลงทุนในปีนี้ ยังคงมุ่งเน้นนโยบายการลงทุนด้าน Energy Efficiency ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV โดยจะพิจารณาต่อยอดธุรกิจเพื่อเลือกลงทุนในโครงการที่สร้างผลตอบแทน (ROE) ในระดับไม่ต่ำกว่า 20% ขึ้นไป จากปัจจุบันที่ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ที่ระดับ 15-16%

ส่วนความคืบหน้าของโรงไฟฟ้าชุมชนนั้น บริษัทมีความพร้อมทุกด้านหากรัฐบาลอนุมัติเดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน บริษัทมีความพร้อมจากกำลังผลิตที่มี 3 เมกะวัตต์ (MW) ที่สามารถเข้าเงื่อนไข "Quick Win" เดินเครื่องการผลิตไฟฟ้าได้ทันที โดยบริษัทตั้งเป้าประมูลโรงไฟฟ้าชุมชนแห่งใหม่ ประมาณ 6-9 เมกะวัตต์ ภายใต้งบลงทุนราว 300-600 ล้านบาท เพิ่มเติมจากโครงการในจังหวัดขอนแก่นที่มีอยู่แล้วราว 3 เมกะวัตต์

"หากภาครัฐมีความชัดเจนเรื่องโรงไฟฟ้าชุมชน บริษัทมีความพร้อมสามารถดำเนินการได้ทันที เนื่องจากบริษัทมีข้อได้เปรียบจากกรณีที่มีโรงไฟฟ้าต้นแบบอยู่ที่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ อีกทั้งยังมีโรงไฟฟ้าชุมชนที่ จ.ขอนแก่น กำลังการผลิตประมาณ 3 เมกะวัตต์ ที่เดินหน้าได้ทันที ซึ่งบริษัทมีความพร้อมด้านศักยภาพ เทคโนโลยีที่ใช้ในการทำงาน และประสบการณ์จากการประกอบการในธุรกิจพลังงานจากก๊าซชีวภาพมานานนับ 10 ปี"นายชัชพล กล่าว

นายชัชพล กล่าวอีกว่า หากภาครัฐบาลสนับสนุนให้เกิดโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน จะส่งผลดีและเกิดประโยชน์โดยตรงต่อเกษตรกรในชุมชน เนื่องจากผู้ผลิตไฟฟ้าจะรับซื้อวัตถุดิบพืชพลังงานจากเกษตรกร ส่งผลให้กลุ่มเกษตรกรในชุมชนสามารถมีรายได้มั่นคงและยั่งยืนขึ้น รวมถึงยังสามารถช่วยลดมลพิษเช่น PM2.5 เปลี่ยนจากการเผาต้นข้าวโพดทิ้ง เป็นการนำมาจำหน่ายเป็นเชื้อเพลิงให้กับผู้ผลิตไฟฟ้าได้

พร้อมกันนี้ บริษัทมีแผนนำศักยภาพความแข็งแกร่งด้าน Know-how มาต่อยอดธุรกิจในรูปแบบการเป็นที่ปรึกษา โดยบริษัทจะนำนวัตกรรมความเชี่ยวชาญประสบการณ์ ขยายโอกาสเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ ภายใต้ความร่วมกับพันธมิตร โดยล่าสุดบริษัทได้เซ็นสัญญาความร่วมมือกับ บมจ.ซันสวีท (SUN) เพื่อเข้าเป็นที่ปรึกษาโครงการก่อสร้างระบบไบโอแก๊สจากวัตถุดิบเหลือทิ้งจากขบวนการผลิตของโรงงาน (ซังข้าวโพด) ในช่วงปลายปี 2563 ที่ผ่านมา และเชื่อว่าในเร็วๆ นี้จะเห็นความร่วมมือในรูปแบบดังกล่าวเข้ามาเพิ่มมากขึ้น

ส่วนแผนความคืบหน้าโครงการจัดการขยะเพื่อผลิตพลังงานทดแทนและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่นำกลับมาใช้ใหม่ ที่นครเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาชาธิปไตยประชาชนลาว นั้น ปัจจุบันมีการลงทุนเฟสแรกในโครงการธุรกิจบริหารจัดการขยะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 64 นี้ และหลังจากนั้นดำเนินการก่อสร้างเฟสที่ 2 เป็นโครงการโรงไฟฟ้าขยะ ขนาด 6 เมกะวัตต์

อย่างไรก็ตาม สำหรับการลงทุนในธุรกิจไบโอดีเซลนั้น บริษัทยังคงศึกษาและต่อยอดธุรกิจไบโอเคมีคัล อย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value Product) ซึ่งใช้ในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยปัจจุบันบริษัทมีการร่วมทุนกับบริษัทย่อยของ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) ในสัดส่วนการถือหุ้น 30% เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซล ด้วยกำลังผลิต 810,000 ลิตรต่อปี ซึ่งธุรกิจไบโอดีเซลนั้นได้ประโยชน์จากที่รัฐมีนโยบายสนับสนุนการใช้ B10 ส่งผลให้ผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่อง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ