ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร SST ที่ BBB- แนวโน้ม Negative

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday March 22, 2021 16:06 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. ทรัพย์ศรีไทย (SST) ที่ระดับ "BBB-" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Negative" หรือ "ลบ" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดของธุรกิจร้านอาหารและร้านอาหารบริการด่วนของบริษัทซึ่งมีการแข่งขันสูงและมีผู้ประกอบการหลากหลาย รวมถึงกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่สม่ำเสมอของธุรกิจคลังสินค้าและคลังเอกสาร การทบทวนอันดับเครดิตยังคำนึงถึงภาระหนี้ของบริษัทที่เพิ่มสูงขึ้นจากการขยายธุรกิจในต่างประเทศและผลการดำเนินงานที่อ่อนแอลงอันเป็นผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด-19) เป็นหลักอีกด้วย

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต "Negative" หรือ "ลบ" นั้นสะท้อนมุมมองของทริสเรทติ้งที่เห็นว่าสถานการณ์ของโรคโควิด 19 ซึ่งแม้จะมีพัฒนาการในเชิงบวกหลายประการก็ตาม แต่ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอและมีความไม่แน่นอนซึ่งจะยังคงส่งผลกดดันต่อการดำเนินธุรกิจร้านอาหารและสถานะความเสี่ยงด้านการเงินของบริษัท

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

-โรคโควิด-19 กระทบผลการดำเนินงานของธุรกิจร้านอาหารอย่างรุนแรง

ธุรกิจร้านอาหารของบริษัทซึ่งดำเนินงานโดยบริษัทลูกหลักคือ บมจ. มัดแมน (MM) ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 โดยในประเทศไทยนั้น การหยุดชะงักของการดำเนินธุรกิจในช่วงที่มีการปิดเมืองและวิถีปฏิบัติในการเว้นระยะห่างทางสังคมได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจร้านอาหารของบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ร้านอาหารในเครือคือ "เกรฮาวด์ คาเฟ่" (Greyhound Cafe - GHC) และแบรนด์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารแบบรับประทานที่ร้าน ส่วนการหายไปของนักท่องเที่ยวจากมาตรการจำกัดการเดินทางและรูปแบบการทำงานจากบ้านก็ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของร้าน "โอ บอง แปง" (Au Bon Pain - ABP) ด้วยเช่นกัน โดยยอดขายของทั้ง 2 ร้านดังกล่าวคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของยอดขายของธุรกิจร้านอาหารทั้งหมดของบริษัทรวมกัน ในขณะที่ร้านอาหารของบริษัทในประเทศอังกฤษและฝรั่งเศสก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากมาตรการปิดเมืองและปิดร้านอาหารหลาย ๆ ครั้งตามนโยบายในการควบคุมการแพร่ระบาดของภาครัฐในประเทศดังกล่าว

ในปี 2563 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจร้านอาหารลดลง 24% จากปีก่อนหน้าโดยมาอยู่ที่ 2.3 พันล้านบาทเมื่อเทียบกับ 3.1 พันล้านบาทในปี 2562 ในขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายลดลง 36% มาอยู่ที่ 354 ล้านบาทจาก 552 ล้านบาทในปี 2562 อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการลดต้นทุนต่าง ๆ ของบริษัท รวมทั้งการได้รับส่วนลดค่าเช่าพื้นที่ร้านจากผู้ให้เช่า และการสนับสนุนจากรัฐบาลในประเทศอังกฤษและฝรั่งเศสก็ช่วยบรรเทาผลกระทบที่กดดันรายได้ให้ลดลงไปได้บ้าง

-รายได้จะค่อย ๆ ฟื้นตัว

ทริสเรทติ้งคาดว่าผลการดำเนินงานของธุรกิจร้านอาหารของบริษัทจะค่อย ๆ ฟื้นตัวหลังจากที่ความกังวลที่มีต่อการระบาดรอบ 2 ของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยคลายลง และทริสเรทติ้งคาดว่าร้านอาหารของบริษัทในประเทศอังกฤษและฝรั่งเศสจะกลับมาเปิดดำเนินงานได้อีกครั้งในช่วงต้นของครึ่งหลังของปีนี้หลังจากที่มีการกระจายวัคซีนในวงกว้าง

ภายใต้สมมติฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้ประมาณ 2.6-2.7 พันล้านบาทในปี 2564 และ 3-3.3 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2565-2566 และคาดว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทซึ่งวัดจากอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ระดับ 14%-16% ในช่วงปีประมาณการ ซึ่งจะทำให้บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 350-400 ล้านบาทในปี 2564 และ 450-550 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2566

ทั้งนี้ การแข่งขันที่รุนแรงและสภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนไหวยังคงเป็นปัจจัยกดดันที่สำคัญต่อรายได้ของบริษัท โดยทริสเรทติ้งเห็นว่าผู้ประกอบการร้านอาหารอาจจำเป็นจะต้องมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นในการจัดกิจกรรมทางการตลาดและจัดรายการส่งเสริมการขายเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ ในการนี้ ทริสเรทติ้งยังมองว่าความนิยมใช้บริการส่งอาหาร (Delivery) ที่เพิ่มสูงขึ้นถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสำหรับบริษัทมัดแมนเนื่องจากการแข่งขันจะยิ่งรุนแรงขึ้นในขณะที่บริการส่งอาหารของบริษัทมัดแมนมีอยู่อย่างจำกัด

-ความพยายามขยายธุรกิจไปในต่างประเทศ

จากความพยายามในการกระจายธุรกิจไปในต่างประเทศ ในช่วงปลายปี 2560 บริษัทโดยผ่านบมจ.มัดแมน (MM)ได้ซื้อกิจการร้านอาหาร "Le Grand Vefour" ในกรุงปารีสซึ่งเป็นร้านอาหารฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงและได้รางวัลดาวมิชลิน 2 ดวง และในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน บมจ.มัดแมนยังได้เปิดร้านอาหารเกรฮาวด์ คาเฟ่ ซึ่งเป็นร้านที่บริษัทบริหารเองแห่งแรกในต่างประเทศที่กรุงลอนดอนด้วย แต่ผลการดำเนินงานของทั้ง 2 ร้านยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทคาดไว้และยิ่งแย่ลงจากผลกระทบของโรคโควิด 19 นอกจากนี้ บริษัทมัดแมนยังได้ร่วมมือกับหุ้นส่วนทางธุรกิจคือ Mr. Guy Martin ซึ่งเป็นหัวหน้าเชฟของร้าน Le Grand Vefour เปิดร้านอาหารเพิ่มอีก 3 แห่งในกรุงปารีสในช่วงปีที่ผ่านมา ได้แก่ "Pasco" "Augustin" และ "A-Noste" และยังมีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 2 แห่งในปีอีกด้วย

บริษัทยังคงมีมุมบอกเชิงบวกในการขยายธุรกิจไปในต่างประเทศในตลาดที่บริษัทเห็นว่ามีศักยภาพในการเติบโตที่ดีกว่าเมื่อธุรกิจกลับสู่ภาวะปกติหลังโรคโควิด 19 ทริสเรทติ้งมองว่าการขยายธุรกิจไปในต่างประเทศจะเพิ่มความไม่แน่นอนให้แก่สถานะทางธุรกิจของบริษัทมากยิ่งขึ้นเนื่องจากสภาพแวดล้อมในการแข่งขันของธุรกิจร้านอาหารในแต่ละประเทศนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ก็ยิ่งเพิ่มความท้าทายให้มีมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม หากการขยายธุรกิจในต่างประเทศประสบความสำเร็จก็จะส่งผลให้บริษัทมีแหล่งรายได้ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นและมีโอกาสในการเติบโตที่สูงขึ้น

-มีกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากธุรกิจคลังสินค้าและคลังเอกสาร

บริษัทมีประวัติผลงานที่ยาวนานและมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจคลังสินค้า รวมถึงธุรกิจท่าเทียบเรือ และธุรกิจคลังเอกสาร โดยธุรกิจดังกล่าวสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอให้แก่บริษัท ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมารายได้จากธุรกิจนี้อยู่ที่ประมาณ 400 ล้านบาทต่อปี และมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ระดับประมาณ 50%

ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากธุรกิจคลังสินค้าของบริษัทจะเติบโตขึ้นเล็กน้อย โดยภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากธุรกิจคลังสินค้าของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 400-410 ล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2564-2566 และบริษัทจะยังคงมีอัตรากำไรที่ระดับประมาณ 50% ในช่วงเวลาดังกล่าว

-การลงทุนในธุรกิจใหม่ล่าช้ากว่ากำหนด

บริษัทอยู่ในระหว่างการลงทุนในโครงการโรงแรมซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางเมืองภูเก็ต โครงการดังกล่าวประกอบไปด้วยโรงแรมขนาด 62 ห้อง 1 แห่งและร้านอาหาร 1 ร้าน ต้นทุนในการก่อสร้างโดยรวมคาดว่าจะอยู่ที่ 280 ล้านบาทซึ่งแหล่งเงินทุนจะมาจากการกู้ยืม โครงการดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปลายปี 2563 แต่กลับล่าช้ากว่ากำหนดเนื่องจากมีการแก้ไขแบบทางด้านสถาปัตยกรรมรวมทั้งยังมีผลกระทบจากโรคโควิด 19 ที่ทำให้โครงการนี้อาจล่าช้าออกไปอีก 1-2 ปี

-ภาระหนี้เพิ่มสูงขึ้น

ภาระหนี้สินของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากในปี 2563 อันมีสาเหตุหลักมาจากการลงทุนขยายธุรกิจในต่างประเทศในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาและรายได้จากธุรกิจร้านอาหารที่ลดลงจากผลกระทบของโรคโควิด 19 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 5.3 เท่าในปี 2563 จาก 3.7 เท่าในปี 2562 จากสมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าระดับหนี้สินของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงเกินกว่า 5 เท่าในปี 2564 จากผลกระทบที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่องของโรคโควิด 19 ที่มีต่อธุรกิจร้านอาหารของบริษัท และจะลดลงไปอยู่ที่ระดับ 3.5-4.5 เท่าในปี 2565-2566 ตามผลการดำเนินงานในธุรกิจร้านอาหารที่ทริสเรทติ้งคาดว่าจะค่อย ๆ ฟื้นตัว โดยการคาดการณ์ดังกล่าวมีการพิจารณารวมไปถึงสมมติฐานของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะลงทุนเป็นเงินจำนวนประมาณ 100-150 ล้านบาทต่อปีในปี 2564-2566 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นร้านอาหาร

ณ สิ้นปี 2563 บริษัทมีภาระหนี้ที่ไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่าอยู่ที่ 1.7 พันล้านบาท โดยภาระหนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่มีและไม่มีหลักประกันที่ระดับบริษัทย่อย ซึ่งส่งผลให้เจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทอาจมีสถานะที่ด้อยสิทธิ์กว่าเจ้าหนี้ หรือมีสถานะที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับเจ้าหนี้ที่มีหลักประกันของบริษัทหรือเจ้าหนี้ที่ระดับบริษัทย่อย

หุ้นกู้ของบริษัทมีข้อกำหนดให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนที่ไม่เกินกว่า 3 เท่า โดย ณ เดือนธันวาคม 2563 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.3 เท่า นอกจากนี้ เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารของบริษัทยังมีเงื่อนไขให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อทุนไม่ให้เกิน 2.5 เท่าด้วย โดย ณ เดือนธันวาคม 2563 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 1.5 เท่า ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งพิจารณาว่าบริษัทมีส่วนเผื่อพอสมควรที่จะสามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดทางการเงินของหุ้นกู้และเงินกู้ยืมระยะยาวดังกล่าวได้ในอนาคต

-สภาพคล่องตึงตัว

ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะเผชิญกับปัญหาสภาพคล่องที่ตึงตัวในระยะ 12 เดือนข้างหน้าแต่คาดว่าจะบริหารจัดการได้ โดยบริษัทมีหนี้ที่จะครบกำหนดชำระประมาณ 1.2 พันล้านบาท รวมทั้งยังมีภาระหนี้สินทางการเงินตามสัญญาเช่าที่ประมาณ 326 ล้านบาท และแผนการลงทุนประมาณ 100-150 ล้านบาท ในขณะที่แหล่งสภาพคล่องของบริษัทประกอบด้วยเงินสด ณ เดือนธันวาคม 2563 จำนวน 263 ล้านบาท เงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 370 ล้านบาท และวงเงินกู้หมุนเวียนจากสถาบันการเงินที่เบิกใช้ได้อีกประมาณ 130 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาสแรกของปี 2564 บริษัทได้รับวงเงินกู้ระยะยาวจำนวน 400 ล้านบาทจากธนาคารแห่งหนึ่งซึ่งบริษัทจะนำไปใช้ในการชำระหนี้ที่เหลือ ทั้งนี้ บริษัทยังคงต้องหาแหล่งเงินกู้เพิ่มเติมเพื่อทดแทนเงินกู้ก้อนใหญ่อื่น ๆ ที่ใกล้ครบกำหนดชำระ

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

รายได้จะอยู่ที่ประมาณ 3-3.1 พันล้านบาทในปี 2564 และ 3.4-3.7 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2565-2566

กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ประมาณ 550-600 ล้านบาทในปี 2564 และ 650-750 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2566

เงินลงทุนรวมจะอยู่ที่ประมาณ 100-150 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2566

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต "Negative" หรือ "ลบ" สะท้อนมุมมองของทริสเรทติ้งว่าสถานการณ์ของโรคโควิด 19 ที่แม้จะมีพัฒนาการในเชิงบวกหลายประการ แต่ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงต่อไปและมีความไม่แน่นอนและจะยังคงกดดันผลการดำเนินงานในธุรกิจร้านอาหารและสถานะความเสี่ยงทางการเงินโดยรวมของบริษัทต่อไป

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนตัวลงกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ไม่ว่าจะเกิดจากผลกระทบในด้านลบที่ยืดเยื้อจากการระบาดของโรคโควิด-19 หรือจากการที่บริษัทมีการลงทุนเชิงรุกโดยใช้แหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมจนส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่สูงกว่าระดับ 5 เท่าอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ทริสเรทติ้งอาจเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตมาเป็น "Stable" หรือ "คงที่" หากผลการดำเนินงานของบริษัทแสดงให้เห็นถึงสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนจนทำให้ระดับหนี้สินปรับตัวดีขึ้นกว่าเดิมหรือใกล้เคียงกับประมาณการของทริสเรทติ้ง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ