SC คาดยอดขาย Q1/64 โต 200% จากการขายโครงการแนวราบเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday March 23, 2021 16:27 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) เปิดเผยร่า บริษัทคาดว่ายอดขายในช่วงไตรมาส 1/64 จะเติบโตถึง 200% หรือทำได้ราว 5 พันล้านบาท เป็นไปตามความต้องการซื้อโครงการแนวราบยังมีเข้ามาต่อเนื่อง ซึ่งโครงการส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นแนวราบและเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง จึงได้รับแรงหนุนเข้ามาช่วยผลักดันยอดขายให้เติบโตได้ในระดับสูง แม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดโควิด-19 รอบใหม่เกิดขึ้นมากระทบต่อเศรษฐกิจและกำลังซื้อไปบ้าง แต่พฤติกรรมการซื้อที่อยู่อาศัยได้เปลี่ยนมาเลือกซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น ทำให้บริษัทได้รับผลบวกจากปัจจัยดังกล่าว

บริษัทยังมั่นใจว่ายอดขายในปี 64 จะทำได้ตามเป้าหมาย 2 หมื่นล้านบาท และยังเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ จำนวน 11 โครงการ มูลค่ารวม 1.7 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น แนวราบ 8 โครงการ มูลค่า 9 พันล้านบาท และ คอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่า 8 พันล้านบาท

ขณะเดียวกันบริษัทยังคงระบายสต็อกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 1/64 เพื่อทำให้บริษัทมีรายได้กลับเข้ามาได้เร็ว และผลักดันยอดขายให้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่ยังคงได้รับผลกระทบมากหลังจากเกิดโควิด-19 เป็นต้นมา โดยคนในประเทศชะลอซื้อ และลูกค้าชาวต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้ามาได้ บริษัทจึงได้เน้นการจัดโปรโมชั่นและให้ราคาพิเศษเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ

อย่างไรก็ดี บริษัทยังเชื่อว่าภาพรวมของตลาดคอนโดมิเนียมจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งหลังจากกลับมาเปิดประเทศ เพราะจะทำให้กลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติสามารถกลับมาซื้อและโอนได้มากขึ้น เพราะการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยยังมีความน่าสนใจ เพราะราคาถูกเมื่อเทียบกับหลายๆ ประเทศในภูมิภาค ขณะที่การขยายโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของภาครัฐทำให้การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์กระจายไปมากขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงหนุนการกลับมาฟื้นตัวของกับภาคอสังหาริมทรัพย์ในระยะต่อไป

บริษัทยังมั่นใจว่ารายได้ในปี 64 จะทำได้ตามเป้าหมาย 1.9 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ราว 6 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในปีนี้ราว 50% ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ภายในปี 65 ทั้งหมด อีกทั้งบริษัทยังเน้นการรักษาด้านสภาพคล่องให้อยู่ไนระดับที่ดี ทำให้บริษัทมีความพร้อมที่แข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจ โดยมีเงินสดและวงเงินกู้พร้อมเบิกกว่า 1 หมื่นล้านบาท และมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ในระดับที่ต่ำ 1.38 เท่า ลดลงจากปี 62 ที่ 1.58 เท่า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ