ทริสฯ จัดอันดับเครดิตองค์กร STARK ที่ BBB+ แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday March 26, 2021 15:59 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จัดอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) ที่ระดับ "BBB+" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงตำแหน่งผู้นำของบริษัทในธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน ตลอดจนผลงานที่ได้รับการพิสูจน์แล้วของ บริษัท เฟ้ลปส์ ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล ไทยแลนด์ จำกัด ในประเทศไทย และความสามารถในการทำกำไรที่ปรับตัวดีขึ้นจากความเชี่ยวชาญในผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของบริษัทก็มีข้อจำกัดจากความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบรวมถึงสถานะงบการเงินที่มีภาระหนี้ในระดับที่ค่อนข้างสูงของบริษัทอันเป็นผลมาจากกลยุทธ์การควบรวมและซื้อกิจการ

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

  • เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมสายไฟฟ้า บริษัทเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสายไฟฟ้าขนาดใหญ่ในทวีปเอเชีย ปัจจุบัน บริษัทมีโรงงานผลิตสายไฟฟ้าในประเทศไทยและประเทศเวียดนามโดยมีกำลังการผลิตรวมกันที่ 150,000 เมตริกตันสำหรับสายไฟฟ้าชนิดตัวนำทองแดงและ 100,000 เมตริกตันสำหรับสายไฟฟ้าชนิดตัวนำอลูมิเนียม

สถานะเครดิตของบริษัทมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากความแข็งแกร่งทางธุรกิจของบริษัทเฟ้ลปส์ ดอด์จฯ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยหลักในกลุ่ม โดยบริษัทเฟ้ลปส์ ดอด์จฯ มีชื่อเสียงในฐานะผู้ผลิตสายไฟฟ้ารายใหญ่อันดับสองในประเทศไทยซึ่งมีรายได้ประมาณ 9.4 พันล้านบาทในปี 2563 และมีส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจสายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 21.0% ในปี 2562 จาก 16.9% ในปี 2559 หลังจากมีการเปลี่ยนเจ้าของมาเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นของบริษัทสตาร์ค คอร์เปอเรชั่น ในปัจจุบัน

ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทนั้นได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์และชื่อเสียงที่แข็งแกร่งของบริษัทเฟ้ลปส์ ดอด์จฯ ในประเทศไทย ซึ่งมีประวัติการดำเนินงานมานานกว่า 50 ปีและมีความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับลูกค้าทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน บริษัทเฟ้ลปส์ ดอด์จฯ สามารถผลิตสายไฟฟ้าที่มีความหลากหลายที่สุดในบรรดาผู้ผลิตสายไฟฟ้าในประเทศไทยตั้งแต่สายไฟฟ้าเปลือย สายไฟฟ้าแรงดันต่ำ ไปจนถึงสายไฟฟ้าแรงดันสูงพิเศษ โดยบริษัทเป็นผู้ผลิตในประเทศเพียงรายเดียวที่สามารถผลิตสายไฟฟ้าแรงดันสูงพิเศษซึ่งมีแรงดันมากกว่า 230 กิโลโวลต์ได้

ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงดำรงตำแหน่งผู้นำตลาดในประเทศไทยได้ต่อไปในอนาคตอันใกล้ ทั้งนี้ ตลาดผู้ผลิตสายไฟฟ้านั้นมีอุปสรรคในการเข้าสู่ธุรกิจที่สูงอันเป็นผลมาจากลักษณะของธุรกิจที่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมากและผู้ประกอบการจะต้องมีใบรับรองหรือใบอนุญาตตามกฎระเบียบ รวมไปถึงการมีข้อกำหนดที่เข้มงวดจากลูกค้าเกี่ยวกับประวัติการดำเนินงานอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าสถานะทางธุรกิจของบริษัทมีข้อจำกัดจากสภาวะตลาดที่ยังขับเคลื่อนด้วยการแข่งขันด้านราคา รวมไปถึงตลาดที่มีลักษณะเป็นวงจร และความเสี่ยงจากการมีรายได้กระจุกตัวในลูกค้าบางราย

  • กลยุทธ์การเติบโตด้วยการซื้อและควบรวมกิจการ ธุรกิจของบริษัทเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงปี 2562-2563 โดยหลังจากจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อเดือนกรกฎาคม 2562 แล้ว บริษัทก็ได้ทำธุรกรรมซื้อกิจการถึง 3 รายการ ได้แก่ 1) บริษัท อดิสรสงขลา จำกัด 2) Thipha Cables และ Dong Viet Non-Ferrous Metal and Plastic (TPC & DVN) และ 3) บริษัท ไทยเคเบิ้ล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด การซื้อกิจการดังกล่าวส่งผลทำให้สินทรัพย์ของบริษัทเติบโตอย่างรวดเร็วโดยเพิ่มขึ้นเป็น 2.73 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2563 จาก 1.26 หมื่นล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2562

ทริสเรทติ้งมองว่ากลยุทธ์การเติบโตของบริษัทจะยังคงมีปัจจัยขับเคลื่อนมาจากการซื้อและควบรวมกิจการเป็นหลัก ทั้งนี้ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้แก่สถานะทางการตลาดในธุรกิจผู้ผลิตสายไฟฟ้าและเพิ่มความหลากหลายของธุรกิจ เป้าหมายของบริษัทในการซื้อกิจการจึงไม่ใช่แค่ผู้ผลิตสายไฟฟ้าในต่างประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงบริษัทอื่น ๆ ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าด้วย นอกจากนี้ บริษัทยังได้แสวงหาโอกาสในการลงทุนด้านการให้บริการโลจิสติกส์สำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอีกด้วยเช่นกัน

ในการนี้ ทริสเรทติ้งมองว่าแนวทางการลงทุนซื้อกิจการแบบเชิงรุกและขอบเขตการลงทุนที่กว้างขวางของบริษัทนั้นบ่งบอกถึงความเป็นไปได้ที่สัดส่วนการผสมผสานและสถานะทางธุรกิจของบริษัทมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต

  • ขยายธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าไปในประเทศเวียดนาม ธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าของบริษัทขยายตัวอย่างมากหลังจากการซื้อกิจการของ TPC & DVN ซึ่งเป็นผู้ผลิตสายไฟฟ้ารายใหญ่ในประเทศเวียดนามเมื่อเดือนมีนาคม 2563 โดย TPC & DVN มีรายได้รวมในปี 2563 อยู่ที่ประมาณ 8.1 พันล้านบาท กำลังการผลิตรวมของ TPC & DVN มีขนาดใหญ่กว่าของบริษัทเฟ้ลปส์ ดอด์จฯ แต่โรงงานนั้นยังมีอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ต่ำอยู่ โดยก่อนการซื้อกิจการ สินค้าหลักของ TPC& DVN เป็นสายไฟฟ้าแรงดันต่ำเป็นส่วนใหญ่ โดยรายได้ที่มาจากผลิตภัณฑ์สายไฟฟ้าคิดเป็น 35%-40% ของรายได้ทั้งหมดและส่วนที่เหลือมาจากการจำหน่ายวัตถุดิบ เช่น แท่งทองแดง

ทริสเรทติ้งมองว่าการซื้อกิจการของบริษัทผู้ผลิตสายไฟฟ้าในประเทศเวียดนามได้ช่วยเสริมให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทมีความแข็งแกร่งอย่างมีนัยสำคัญโดยช่วยขยายขนาดของธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นเป็นเท่าตัว ทั้งยังช่วยเพิ่มความหลากหลายด้านโรงงานผลิตและฐานการตลาดอีกด้วย ทั้งนี้ แนวโน้มการเติบโตของอุปสงค์ด้านสายไฟฟ้าในประเทศเวียดนามนั้นมีลู่ทางที่ดีโดยประเมินจากความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณปีละ 10%-11% ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

การประเมินอันดับเครดิตยังได้พิจารณารวมไปถึงความเป็นไปได้ของประโยชน์ที่จะเกิดจากการดำเนินงานร่วมกันระหว่างโรงงานในประเทศไทยและโรงงานในประเทศเวียดนามอีกด้วยไม่ว่าจะเป็นอำนาจในการต่อรองที่มีมากขึ้นจากการรวมศูนย์จัดหาวัตถุดิบ การจัดสรรการใช้กำลังการผลิตเพื่อให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น และการใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญของบริษัทเฟ้ลปส์ ดอด์จฯ ในการผลิตสายไฟฟ้าแรงดันขนาดกลางถึงสูงในประเทศเวียดนาม เป็นต้น ประโยชน์จากการดำเนินงานร่วมกันดังกล่าวจะช่วยทำให้บริษัทมีประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่ดีขึ้นและช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้สูงขึ้นในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งยังไม่ได้นำประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการดำเนินงานร่วมกันดังกล่าวเข้ามารวมไว้ในการพิจารณาประมาณการทางการเงินของบริษัทอย่างเต็มที่เนื่องจากประวัติความสำเร็จของการดำเนินงานในประเทศเวียดนามนั้นยังจำกัด

  • ความเสี่ยงจากราคาวัตถุดิบที่ผันผวน ผลิตภัณฑ์สายไฟฟ้าส่วนใหญ่ประกอบด้วยทองแดงและอลูมิเนียม โดยโลหะทั้ง 2 ชนิดมีต้นทุนคิดเป็นประมาณ 70%-80% ของต้นทุนการผลิต ทริสเรทติ้งเชื่อว่าอัตรากำไรของสินค้าและเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทมีแนวโน้มที่จะผันผวนในช่วงที่ราคาโลหะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากสินค้าสายไฟฟ้านั้นมีลักษณะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม มาตรการต่าง ๆ ของบริษัท เช่น การทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงทันทีหลังจากได้รับคำสั่งซื้อหรือกลยุทธ์การตั้งราคาขายโดยการส่งผ่านภาระต้นทุนในกลุ่มผลิตภัณฑ์บางกลุ่มก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงด้านราคาวัตถุดิบได้ในระดับหนึ่ง
  • ความสามารถในการทำกำไรปรับตัวดีขึ้นจากสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในปี 2563 ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยบริษัทมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็น 15.1% ในปี 2563 จากประมาณ 10% ในปี 2561 และปี 2562 ซึ่งการปรับเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรเกิดจากกลยุทธ์ที่บริษัทจะมุ่งเน้นไปในสินค้าที่มีกำไรสูงมากขึ้น โดยในช่วงต้นปี 2563 บริษัทได้เริ่มมุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนและมีอัตรากำไรที่สูงขึ้น เช่น สายไฟฟ้าแรงดันปานกลางไปจนถึงสายไฟฟ้าแรงดันสูงพิเศษ ในขณะเดียวกันก็ลดการจำหน่ายสินค้าในกลุ่มที่มีอัตรากำไรต่ำ เช่น สายไฟฟ้าเปลือย เป็นต้น บริษัทได้นำแนวทางดังกล่าวไปใช้กับการดำเนินงานในประเทศเวียดนามด้วยเช่นกันโดยทำการขยายการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสายไฟฟ้าให้มากขึ้นและลดการจำหน่ายวัตถุดิบลง เช่น แท่งทองแดงและแท่งอลูมิเนียม นอกจากนี้ บริษัทยังได้ริเริ่มโครงการบริหารจัดการเพื่อลดความสูญเสียและสิ้นเปลืองในองค์กรรวมทั้งลดความต้องการเงินทุนหมุนเวียนด้วย

การเปลี่ยนกลยุทธ์มาเน้นจำหน่ายสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงและลดค่าใช้จ่ายอย่างเข้มข้นทำให้ทริสเรทติ้งเชื่อว่าความพยายามดังกล่าวน่าจะทำให้บริษัทคงความสามารถในการทำกำไรในระดับสูงเอาไว้ได้ ความสำเร็จในการเปิดตัวสินค้าสายไฟฟ้าประเภทแรงดันปานกลางและสูงในประเทศเวียดนามและสายไฟฟ้าชนิดพิเศษต่าง ๆ นั้นถือเป็นปัจจัยบวกที่จะช่วยสนับสนุนความสามารถในการทำกำไรในระยะยาวของบริษัท นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังมองว่าการที่บริษัทมีอัตรากำไรที่ดีกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมผลิตสายไฟฟ้านั้นถือว่าเป็นปัจจัยบวกต่อสถานะเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน

  • ภาระหนี้สินน่าจะปรับตัวดีขึ้น ภาระหนี้สินของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงจากการที่บริษัทซื้อกิจการต่าง ๆ จำนวนหลายรายการในช่วงที่ผ่านมา โดยบริษัทมีหนี้สินรวมเพิ่มขึ้นเป็น 1.23 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2563 จาก 5 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2562 โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อเงินทุนเพิ่มขึ้นเป็น 74.9% ณ สิ้นปี 2563 จาก 62% ณ สิ้นปี 2562 และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4.4 เท่าในปี 2563 จาก 3.4 เท่าในปี 2562

อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่าสถานะทางการเงินของบริษัทจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นโดยพิจารณาจากแผนการลดภาระหนี้ของบริษัทเนื่องจากทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะให้ความสำคัญในเรื่องการผสานธุรกิจกับกิจการในประเทศเวียดนามเป็นหลัก ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังไม่มีการซื้อกิจการขนาดใหญ่ในช่วง 2 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทได้ตั้งเป้าหมายที่จะลดอัตราส่วนภาระหนี้สินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายให้อยู่ต่ำกว่า 2.5 เท่าภายในปี 2566

ภายใต้ประมาณการขั้นพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าในช่วงปี 2564-2565 บริษัทจะมีรายได้ต่อปีในระหว่าง 1.7-1.8 หมื่นล้านบาทและจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อปีอยู่ที่ประมาณ 2.5 พันล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกัน โอกาสที่บริษัทจะมีความสามารถในการทำกำไรที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้นน่าจะมาจากประโยชน์จากการผสานการดำเนินงานในประเทศเวียดนามและโครงการลดต้นทุนต่าง ๆ ที่บริษัทกำลังดำเนินการอยู่ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าระดับหนี้สินทางการเงินของบริษัทน่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายน่าจะลดลงเหลือ 3.5-4 เท่าและเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินสุทธิจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเกินกว่า 15% ในช่วงประมาณการดังกล่าว ส่วนความเสี่ยงในด้านลบนั้นอาจจะเกิดจากราคาทองแดงที่เริ่มมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น

  • สภาพคล่องที่จัดการได้ ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้านั้นจะยังอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้ บริษัทมีแหล่งเงินทุนเพียงพอที่จะใช้ชำระหนี้สินทางการเงิน โดยแหล่งเงินทุนดังกล่าวประกอบด้วยเงินสดในมือจำนวน 1.24 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2563 และเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 1.4-1.5 พันล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีภาระในการชำระหนี้เงินกู้จำนวนประมาณ 1.78 พันล้านบาทและมีแผนลงทุนประมาณ 0.75 พันล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทอาจต้องใช้แหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมบางส่วน

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

  • รายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 1.7-1.8 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2564-2565
  • กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 2.5 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2565
  • เงินลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 0.75 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2565
  • จะไม่มีการจ่ายเงินปันผลในระหว่างปี 2564-2565

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังสามารถรักษาตำแหน่งทางการตลาดในธุรกิจสายไฟฟ้าทั้งในประเทศไทยและในประเทศเวียดนามเอาไว้ได้ โดยหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทคาดว่าจะดีขึ้นโดยอยู่ต่ำกว่าระดับ 5 เท่าในระยะ 2 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะไม่มีการทำธุรกรรมซื้อหรือควบรวมกิจการด้วยการก่อหนี้จำนวนมาก

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากฐานรายได้และกระแสเงินสดของบริษัทขยายตัวเป็นอย่างมากจากระดับปัจจุบันในขณะที่สถานะทางการเงินของบริษัทยังคงเดิมหรือดีขึ้นซึ่งอาจเกิดจากการที่บริษัทประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าหรือสามารถขยายตลาดเข้าไปสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงใหม่ ๆ ได้

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทยังคงสูงเกินกว่า 5 เท่าเป็นระยะเวลานาน ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการทำธุรกรรมซื้อและควบรวมกิจการใหม่ ๆ โดยใช้การกู้ยืมเงินมากเกินไปจนทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ