วงการคริปโทฯ มองไม่ชัด Halving รอบใหม่เกิดหรือไม่หลังผู้เล่นรายใหญ่เพิ่มทำแนวโน้มเปลี่ยน

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 31, 2021 17:23 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ กล่าวในงานสัมมนาเปิดโลกตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล How to Win Game of Crypto ในหัวข้อ จับสัญญาณ Bitcoin Halving การแบ่งครึ่งที่ช็อกโลกคริปโทฯ ว่า ในอดีตที่ผ่านมา ทุกๆ 4 ปี จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า Bitcoin Halving หรือการลดทอนผลตอบแทนของการขุดลงครึ่งหนึ่ง ส่งผลให้ Bitcoin หายากมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากปริมาณ Bitcoin ใหม่ที่ออกสู่ตลาดน้อยลง ทำให้มูลค่าของ Bitcoin เพิ่มขึ้น และทำให้ทุกครั้งหลังเกิด Bitcoin Halving ราคาของ Bitcoin จะปรับตัวและทำจุดสูงสุดใหม่ในช่วงประมาณ 1 ปีครึ่ง

ทั้งนี้ Bitcoin Halving เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อกลางปี 2555 ซึ่งผลตอบแทนของการขุด Bitcoin จากเดิมอยู่ที่ 50 BTC ลดลงเหลือ 25 BTC และครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อปี 59 โดยหลังจากนั้น 6 เดือน ราคาของ BTC จะเริ่มนิ่ง ก่อนจะปรับตัวขึ้นในช่วงกลางปี 61 และราคาก็เริ่มนิ่งอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 3 ของการเกิด Bitcoin Halving ในช่วงกลางปี 63 และหลังจาก 6 เดือนหรือในช่วงปลายปี 63 ราคา BTC ก็ปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดที่ 3,000 ดอลลาร์ เป็น 50,000-60,000 ดอลลาร์ในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ในปี 64 ถือว่าเป็นปีทองของ BTC แต่ก็ยังไม่รู้ว่าราคาที่ปรับตัวขึ้นจะทำจุดสูงสุดแล้วหรือยัง โดยมองว่าสิ่งที่แตกต่างออกไปจากในอดีต คือ มีผู้เล่นเข้ามาลงทุนใน BTC มากขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบัน ซึ่งอาจทำให้แนวโน้มของราคา BTC จากนี้เปลี่ยนไปจากในอดีตก็ได้ รวมถึงการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบของประเทศต่างๆ ทำให้เกิดสภาพคล่องล้นระบบ ก็อาจทำให้แนวโน้มราคา BTC เปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน เนื่องจากมองว่าบางส่วนอาจนำเงินเข้ามาลงทุนในคริปโทฯ

ปัจจุบันมาร์เก็ตแคปของคริปโทฯ รวมกันอยู่ที่ 1.6-1.7 ล้านล้านเหรียญฯ หรือคิดเป็น 10% ของมาร์เก็ตแคปทองคำ ซึ่งยังสามารถเติบโตได้อีกมาก เนื่องด้วยขณะนี้ไม่ได้มีเพียงเหรียญ BTC เท่านั้น แต่ยังมีเหรียญอื่นๆ รวมกันมากกว่า 8,000 เหรียญทั่วโลก โดยปัจจัยสนับสนุนหลักที่จะทำให้เงินไหลเข้ามาในตลาดคริปโทฯ นี้ คือ เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว และมีการเก็บทรัพย์สินที่ปลอดภัย จะเห็นได้ว่านักลงทุนสถาบันนำเงินมาลงทุน เพราะมีความมั่นใจในระดับหนึ่ง

นอกจากนี้ปัจจุบันก็มีบริษัท อย่าง Paypal ได้เปิดให้ผู้ที่มีบัญชีหรือลูกค้าให้ Bitcoin เพื่อชำระเงินในร้านค้าได้แล้ว ซึ่งลูกค้าที่มีบัญชี Paypal คิดเป็น 300 ล้านบัญชี ทำให้มองว่าจะมีเงินไหลเข้ามาใน BTC มากขึ้น

"อีก 3 ปีจากนี้จะเกิด Bitcoin Halving อีกครั้ง แต่ก็เป็นเรื่องของอนาคตที่เรายังไม่สามารถคาดการณ์ได้ โดยสิ่งที่นักลงทุนรายใหม่ที่ต้องการจะเข้าสู่ตลาดคริปโทฯ ควรทำ คือ ศึกษาให้เข้าใจก่อน เริ่มตั้งแต่การเปิดบัญชี การแบ่งเงินลงทุน ซึ่งเราจำเป็นต้องรู่ว่าเรากำลังทำอะไรหรือต้องเข้าใจตัวเองก่อน และอย่าทำอะไรเกินตัว เนื่องจากทุกๆการเก็งกำไร การลงทุน มีความเสี่ยง"

สำหรับคำแนะนำการลงทุนในคริปโทฯ ที่นักลงทุนควรรู้ คือ 1.เหรียญมีจำนวนจำกัดหรือไม่ หากมีจำกัดก็จะส่งผลต่อราคาปรับตัวขึ้นได้, 2. Network Effect และ 3. มีระบบที่ปลอดภัยหรือไม่ ขณะที่ในแง่ของการประเมินทิศทางราคาของคริปโทฯ ส่วนตัวมองว่ายังไม่มีสิ่งใดบอกได้ 100% ว่าราคาจะขึ้นหรือลง แต่ก็มีบางเครื่องมือบางตัวที่บอกว่าใครโอน BTC ออกไปบ้าง แต่ไม่ 100%

ด้านนายปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้งและกรรมการ บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวถึงปรากฎการณ์ Bitcoin Fever ว่า ในไตรมาส 1/64 เกิดการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก โดยมูลค่าตลาดของ BTC เพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ จากในอดีตปี 62 อยู่ที่ 3% เทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น และคาดว่าในอนาคต BTC จะมีมูลค่าสูงกว่าดอลลาร์สหรัฐฯ

ขณะที่นอกจาก BTC แล้วยังมีเหรียญอื่นๆ ที่น่าจับตามอง ซึ่งพบว่าเมื่อราคา BTC ปรับตัวขึ้น เหรียญอื่นๆ เช่น ETH, DOGE, DOT เป็นต้น ก็ปรับตัวขึ้นตามไปด้วย คาดว่าน่าจะเป็นวัฎจักรที่จะเกิดขึ้นในปีนี้

ส่วนผู้ลงทุนจะเห็นว่าจะเป็นคนวัยทำงานมากขึ้น ซึ่งถือว่ามีเงินเก็บสำหรับการลงทุน จะแตกต่างจากในอดีตที่จะเป็นนักลงทุน Gen X Gen Y เป็นหลัก เนื่องจากมีความมั่นใจในตลาดว่ามีความปลอดภัย และการเข้ามาลงทุนของบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น Tesla ก็สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนในวัยทำงานเป็นอย่างมาก โดยแนะนำว่าควรจัดพอร์ตการลงทุน แบ่งเงินลงทุนราว 5% ของเงินลงทุนทั้งหมดมาลงทุนในคริปโทฯ

สำหรับคำแนะนำในการเลือกเหรียญฯ เพื่อลงทุน ให้มองเป็น 2 ส่วน คือ เทคโนโลยี และราคา โดยหากเลือกลงทุนที่เทคโนโลยี ต้องเป็นผู้ที่อยากสนับสนุนเทคโนโลยี ซึ่งในส่วนนี้ก็จะมีผลต่อราคาให้ปรับตัวสูงขึ้นได้, ส่วนคนที่ชอบการเก็งกำไร ให้ดูว่าเหรียญฯ ที่ลงไปแล้วจะกำไรหรือไม่ จากมีซัพพลายจำกัดหรือไม่ และผู้ถือเหรียญเป็นใคร อย่างไรก็ตาม การลงทุนในคริปโทฯ ผู้ลงทุนจะต้องหาความรู้เบื้องต้นก่อนเข้ามาลงทุน เนื่องจากตลาดมีความผันผวนค่อนข้างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ