ORI เผย Q1/64 กวาดยอดขายแล้ว 7.5 พันลบ.พร้อมเปิด 3 โครงการใหม่ใน Q2/64

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday April 1, 2021 12:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) เปิดเผยว่า บริษัทสามารถสร้างยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยในไตรมาส 1/64 (ม.ค.-มี.ค.64) ได้ที่ 7,500 ล้านบาท หรือคิดเป็นราว 26% ของเป้าหมายยอดขายปีนี้ 29,000 ล้านบาท แบ่งเป็น กลุ่มคอนโดมิเนียมประมาณ 73% และ กลุ่มบ้านจัดสรร ประมาณ 27% ซึ่งถือเป็นผลการดำเนินงานที่น่าพึงพอใจ ในสภาวะที่ตลาดช่วงต้นไตรมาสได้รับแรงกดดันทางเศรษฐกิจจากโควิด-19 ระลอกใหม่ช่วงปลาย ธ.ค.ปีที่ผ่านมา

จากยอดขายดังกล่าว แบ่งเป็น ยอดขายจากกลุ่มโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) ราว 69% และยอดขายจากกลุ่มโครงการที่เพิ่งเปิดขายหรืออยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง (Ongoing) ราว 31% โดยไฟท์ติ้งแบรนด์ที่ช่วยให้ยอดขายในไตรมาส 1/64 ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม คือ ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge) ที่เจาะตลาดระดับไฮเอนด์ และ ดิ ออริจิ้น (The Origin) ที่เจาะตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยทั้ง 2 แบรนด์มีจุดแข็งคือการกระจายตัวอยู่ใกล้รถไฟฟ้าหลายทำเล มีฟังก์ชั่นภายในห้องพักและพื้นที่ส่วนกลางที่ตอบโจทย์ Work From Home และการใช้ชีวิตแบบ Next Normal โดยระดับราคาที่ผู้บริโภคยังสามารถเข้าถึงได้ในสภาวะปัจจุบัน

"เราศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค และให้ความสำคัญกับเรื่อง Customer Insight มาตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด-19 ทำให้ทำเลฟังก์ชั่น และบริการต่างๆ ที่เราเตรียมไว้ให้สำหรับผู้บริโภคในโครงการที่อยู่อาศัยแบรนด์ต่างๆ ของเรา เป็น Smart Products และ Excellent Services ที่สามารถตอบโจทย์ได้ในทุกจังหวะเวลา แม้บริบทการใช้ชีวิตของผู้บริโภคจะเปลี่ยนไป โดยเฉพาะแบรนด์ไนท์บริดจ์ และดิ ออริจิ้น ที่นอกจากได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคแล้ว ยังได้รับการตอบรับที่ดีจากพันธมิตรในการพิจารณาเข้ามาร่วมทุนอย่างต่อเนื่อง" นายพีระพงศ์ กล่าว

นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลังจากนี้ มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากมีปัจจัยบวกหลายด้านที่ทยอยเกิดขึ้นต่อภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภค เช่น โอกาสการกลับมาเปิดประเทศจากเรื่องวัคซีนวีซ่า การทยอยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้แก่บุคคลกลุ่มต่างๆ การต่ออายุมาตรการลดภาษีค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนอง

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ และโครงการที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จในปีนี้ในระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งจะได้รับอานิสงส์จากมาตรการดังกล่าว คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็น กลุ่มคอนโดมิเนียม ประมาณ 8,500 ล้านบาท และกลุ่มบ้านจัดสรรแบรนด์ไบรตัน (Brighton) อีกประมาณ 2,500 ล้านบาท

ขณะเดียวกันในกลุ่มโครงการใหม่จะเปิดตัวเพิ่มเติมในไตรมาส 2/64 อีก 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 4,200 ล้านบาท ได้แก่ แกรนด์ บริทาเนีย บางนา กม.12 แกรนด์ บริทาเนีย ราชพฤกษ์-พระราม 5 รวมถึงแบรนด์ใหม่อย่าง "แฮมป์ตัน" (Hampton) แบรนด์อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน (Investment Property) โครงการแรกของบริษัท ที่ร่วมทุนกับกลุ่มดุสิตธานี นำร่องในทำเลศรีราชาภายใต้ชื่อ แฮมป์ตัน ศรีราชา

"ปัจจัยบวกเชิงมหภาคก็ดี ปัจจัยบวกจากการปรับตัวขององค์กรก็ดี ที่ผ่านมา ออริจิ้นมี Key Success คือ เราปรับตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง มองหาตลาดใหม่ๆ ที่มีความต้องการและมีโอกาสเติบโตอยู่เสมอ กลางปี 62 เราเปิดตัวแบรนด์ดิ ออริจิ้น เจาะตลาดกลุ่ม Gen Z ที่ยังไม่มีผู้ประกอบการรายไหนเข้าไปลุย ปัจจุบันปิดการขายไปแล้วหลายโครงการ ปลายปี 63 เราเปิดตัวแบรนด์โซโห แบงค็อก โครงการแรก ขยายฐานลูกค้าใหม่ในตลาดไฮเอนด์ ปัจจุบันก็มียอดขายสะสมแล้วกว่า 75%

ปีนี้ตามแผน ORIGIN NEXT LEVEL เรามีแบรนด์คอนโดมิเนียมใหม่ที่จะใช้บุกตลาดศักยภาพใหม่ๆ เพิ่มเติมถึง 4 แบรนด์ เมื่อประกอบกับยอดขายจาก New S Curve ของเครืออย่างธุรกิจบ้านจัดสรร สถานการณ์เศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจโลก และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ดีขึ้นเป็นลำดับ เราเชื่อมั่นว่าปีนี้จะสามารถสร้างยอดขายเป็น All Time High ที่ 29,000 ล้านบาทตามเป้า" นายพีระพงศ์ กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ