นายศิวพงศ์ บุญสาลี ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ศักดิ์สยามลิสซิ่ง (SAK) กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อปี 64 ไว้ที่ 8,400 ล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นแตะ 12,000 ล้านบาทภายในปี 66 โดยปัจจุบันมียอดพอร์ตสินเชื่ออยู่ที่ 6,811 ล้านบาท ซึ่งได้ขยายสาขาครบ 200 สาขาครบตามแผนในปีนี้ตั้งแต่เดือน พ.ค.64 เพื่อมุ่งสู่ 1,119 สาขาในปี 66 โดยปัจจุบันมีทั้งหมด 719 สาขาเพื่อที่จะให้บริการประชาชนได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง
ปัจจุบันพอร์ตสินเชื่อของบริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการเปิดสาขาใหม่ 200 สาขา โดยตั้งแต่เดือนก.พ.-พ.ค. มีจำนวนลูกค้าใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับสาขาเดิมที่เปิดให้บริการเพิ่มในปีที่แล้ว 100 สาขา สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ และแม้จะเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 ระลอก 3 แต่ก็ยังไม่ส่งผลต่อการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อมากนัก และในไตรมาส 2/64 คาดว่าพอร์ตสินเชื่อจะเติบโตได้อีก เนื่องมาจากปัจจัยในการเข้าสู่ฤดูกาลเพาะปลูกและการเปิดเทอม และในช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นการเตรียมงานสำหรับขยายสาขาเพิ่มในปี 65
ในปีนี้บริษัทยังมั่นใจว่าจะควบคุมระดับ NPL ให้อยู่ที่ประมาณ 2-2.5% ได้ ซึ่งสัดส่วน NPL ในปัจจุบันอยู่ที่ 2.1% ลดลงจากสิ้นปี 63 ซึ่งอยู่ที่ 2.2% และบริษัทมีสัดส่วนพอร์ตลูกหนี้ดี (ค้างชำระไม่เกิน 1 เดือน) สูงถึง 94% เป็นผลมาจากบริษัทมีการแบ่งความรับผิดชอบที่เป็นระบบ โดยมอบหมายให้แต่ละสาขาซึ่งอยู่ในพื้นที่และมีความใกล้ชิดกับลูกหนี้ ติดตามการชำระหนี้ของลูกหนี้ชั้นดีไปจนถึงลูกหนี้ที่ค้างชำระเกิน 3 เดือน และหลังจากนั้นหากพบลูกหนี้ที่ค้างชำระเกิน 3 เดือน จะมีการส่งทีมจากสำนักงานใหญ่เข้าไปให้คำปรึกษาและดูแลจัดการเรื่องหนี้ นอกจากนี้ทางบริษัทยังได้นำข้อมูลของลูกหนี้ที่ได้จากการติดตาม มาให้ Feedback กับผู้ให้บริการสินเชื่อ จึงทำให้เกิดการควบคุมที่ดีและต่อเนื่อง
ด้านธุรกิจประกันวินาศภัยที่เปิดให้บริการเมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา พบว่ามีการขายกรมธรรม์ได้ประมาณ 50-60% ของจำนวนสาขาทั้งหมดที่มี เนื่องจากมีปัญหาเรื่องการขอใบอนุญาตตัวแทน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้การเดินทางและการตรวจสอบเป็นไปได้ยาก ปัจจุบันบริษัทกำลังปรับปรุงช่องทางการขาย เพื่อที่จะสร้างรายได้ให้มากขึ้น
ปัจจุบันทางบริษัทใช้การบริหารจัดการแบบ Cluster โดย 1 สาขาจะคอยควบคุมดูแล 7-10 หน่วยให้บริการย่อย เพื่อการเข้าถึงลูกค้าในพื้นที่ และการ Set Up อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการเข้าใจวิถีชีวิตของชุมชนอย่างแท้จริงและยังมีโครงการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อยกระดับการให้บริการสินเชื่อ โดยทยอยนำเข้ามาใช้งานในเดือนมี.ค. และน่าจะใช้ได้ครบทั้งระบบในไตรมาส 2/64 ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพและความสะดวกรวดเร็วในการให้บริการ สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในปัจจุบัน ประกอบไปด้วย
1) Digitalization : เป็นการบันทึกข้อมูลและเอกสารแบบ Paperless รวมไปถึงการยืนยันตัวตนด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในกระบวนการตรวจสอบและอนุมัติสินเชื่อ และยังสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย
2) Mobile Application : เพื่ออำนวยความสะดวกในการชำระ-จ่ายเงินสินเชื่อ โดยเชื่อมโยงกับเครือข่ายของธนาคาร รวมไปถึงการเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าในการรับข่าวสารและตรวจสอบข้อมูลอีกด้วย
3) Data Analysis : นำข้อมูล ประวัติ และพฤติกรรมของลูกค้าในอดีตมาใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์สินเชื่อ การติดตามหนี้ และการประเมินความเสี่ยงของพอร์ตสินเชื่อ
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 1/64 มีรายได้อยู่ที่ 394 ล้านบาท ลดลง 5.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 417 ล้านบาท แต่กำไรสุทธิ 119 ล้านบาท เติบโตขึ้น 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 103 ล้านบาท
ในขณะที่พอร์ตสินเชื่อไตรมาส 1/64 อยู่ที่ 6,811 ล้านบาท เติบโตขึ้น 5.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 6,437 ล้านบาท แบ่งเป็นลูกหนี้ที่มีหลักประกัน 86% และลูกหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน 14% โดยสามารถจำแนกประเภทสินเชื่อได้เป็น สินเชื่อทะเบียนรถเป็นประกัน 3,593 ล้านบาท สินเชื่อเกษตร 2,016 ล้านบาท สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ 777 ล้านบาท สินเชื่อเช่าซื้อ 232 ล้านบาท และสินเชื่อส่วนบุคคล 193 ล้านบาท