ดัชนีสเตรทส์ไทม์ตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดปรับตัวลดลงในวันนี้ (22 พ.ย.) ตามตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในเอเชียที่ดิ่งลง เนื่องจากนักลงทุนยังคงมีท่าทีวิตกกังวลว่า เศรษฐกิจของสหรัฐอาจทรุดลงอย่างหนัก "เห็นได้ชัดว่าความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาวะวิกฤตในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐจะยังคงส่งผลกระทบให้ตลาดทั่วโลกผันผวนในช่วง 2-3 วันและสัปดาห์ข้างหน้า" นาจิบ จาร์ฮม หัวหน้านักวิจัยจากฟราเซอร์ ซิเคียวริตี้ส์กล่าว สำนักข่าวธอมสันไฟแนนเชียลรายงานว่า ดัชนีสเตรทส์ไทม์ปิดลดลง 34.32 จุด หรือ 1.0% ปิดร่วงลงต่ำสุดในรอบ 3 เดือนที่ 3,312.88 จุด หลังเคลื่อนไหวในกรอบ 3,306.53 และ 3,374.30 จุด มีปริมาณการซื้อขาย 1.8 พันล้านหุ้น มูลค่า 2.1 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ตลาดหุ้นสิงคโปร์คาดว่าจะยังคงผันผวน เนื่องจากนักลงทุนต่างเฝ้ารอนโยบายปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ที่จะมีขึ้นในวันที่ 11 ธ.ค.นี้ แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากระแสคาดการณ์ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกนั้นอาจเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น แต่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวอาจส่งสัญญาณให้เห็นว่าเศรษฐกิจของสหรัฐกำลังทรุดลงกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ด้วยเช่นกัน หุ้นกลุ่มธนาคารส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง โดยหุ้นดีบีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ปิดลดลง 20 เซนต์ และหุ้นโอซีบีซี ขยับลง 5 เซนต์ ส่วนหุ้นกลุ่มบลูชิพก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน หุ้นเค็พเพล คอร์ป ร่วงลง 30 เซนต์ หุ้นคอสโก คอร์ป ลดลง 20 เซนต์ และหุ้นสิงคโปร์ เอ็กซ์เชนจ์ ลดลง 20 เซนต์ หุ้นสิงคโปร์ เทเลคอม ปรับตัวลดลง อันเป็นผลมาจากความวิตกกังวลที่ว่าปัญหาด้านกฎข้อบังคับที่เกิดขึ้นกับบริษัทโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศอาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัท โดยหุ้นปิดขยับลง 4 เซนต์ ความวิตกกังวลในเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังจากที่สำนักงานกำกับดูแลด้านการแข่งขันของอินโดนีเซีย (เคพีพียู) ได้ตัดสินว่า เทมาเส็ก โฮลดิ้ง กองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดของอินโดนีเซีย เนื่องจากเทมาเส็กถือหุ้นทั้งในบริษัทพีที เทลคอมเซล และพีที อินโดแซท ซึ่งเป็นบริษัทโทรศัพท์มือถือ 2 รายใหญ่สุดของอินโดนีเซีย "ในช่วงเวลาอันใกล้นี้ ผมคาดว่าหุ้นอาจร่วงลงอีกเนื่องจากยังมีปัจจัยลบเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้นมากขึ้น โดยเฉพาะนับตั้งแต่ที่บรรยากาศการซื้อขายโดยรวมในตลาดซบเซาลง" อัง ซู คี นักวิเคราะห์จากสถาบันวิจัยไดว่ากล่าว