บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)หรือ KEST เข้าเกียร์รอรับคาดการณ์ตลาดหุ้นพุ่งแรงในปี 51 หลังเลือกตั้ง ชูจุดเด่นคุมส่วนแบ่งตลาดหลักลูกค้ารายย่อยให้ชัดเจนขึ้น ขณะที่ลูกค้าต่างประเทศยังอาศัยช่องทางบริษัทโฮลดิ้งส์ที่เป็นบริษัทแม่ พร้อมคาดสรุป Exclusive Partner ในปีหน้า ส่วนงานด้านวาณิชธนกิจมีดีลรอส่งเข้าตลาดฯ ระดมทุนกว่าหมื่นล้านบาท มุ่งรักษาแชมป์โบรกเกอร์มาร์เก็ตแชร์สูงสุด 8-9% "รายได้ปีหน้าน่าจะดีขึ้นดูจากวอลุ่มที่สูงขึ้น ปีนี้ยืน เป้ามาร์เก็ตแชร์ปีหน้ายังคงมองที่ 8-9% ใกล้เคียงปีนี้ ประมาณว่าจะพยายามรักษามาร์เก็ตแชร์ให้ได้ ช่วงนี้มาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 9%"นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KEST กล่าวกับ"อินโฟเควสท์" KEST ประเมินว่า ดัชนี SET ในปี 51 จะทะลุ 1,200 จุด จากปีนี้ที่เคยวางเป้าไว้ที่ 1,000 จุด แต่เมื่อมีปัญหาซับไพร์มก็อาจจะได้เห็นในช่วงต้นปี 51 โดยวอลุ่มการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวัน เพิ่มขึ้นประมาณ 1.82 หมื่นล้านบาท/วัน จาก 1.68 หมื่นล้านบาท/วันในปีนี้ ขณะที่เรามองว่าภาพรวมเศรษฐกิจปีหน้าน่าจะดี คาดการณ์ว่า GDP ของไทยในปี 51 เพิ่มเป็น 5.5% จาก 4.5% ในปี 50 และคาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น 25% ในปี 51 สูงกว่าปีนี้ที่คาดว่ากำไรจะโต 5% *เพิ่มอาวุธให้รายย่อยพร้อมลุยตลาดปีหน้า นายมนตรี กล่าวว่า ในช่วงนี้บริษัทเน้นการให้ความรู้กับลูกค้า โดยเฉพาะรายย่อยที่เป็นลูกค้าหลัก เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักลงทุน โดยเฉพาะสินค้าใหม่ ได้แก่ SET 50 Options ซึ่งยังขาดความรู้กันอยู่ รายได้จากลูกค้าที่ซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ตประมาณ 13-14% ของรายได้ โดยล่าสุดบริษัทจะเข้าร่วมงาน Asia Traders&Investors Convention หรือ ATIC @Bangkok ในเดือน ม.ค.51 เพื่อต้องการโปรโมทการซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ต ขยายฐานลูกค้าที่ซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ต "กลุ่มรายย่อยเราตั้งใจเอาความรู้เป็นหัวหอกที่จะนำไปสู่การขยายตลาด ส่วนด้านลูกค้าสถาบันเราก็เน้นเรื่องคุณภาพ โดยเฉพาะงานวิจัย ซึ่งถือว่าของเราใช้ได้"นายมนตรี กล่าว นายมนตรี กล่าวว่า แต่ละตลาดก็ใช้กลยุทธ์แตกต่างกันไปในปีหน้า ด้านนักลงทุนรายย่อย ยังมีโอกาสอีกกว้าง โดยคนไทยมีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์เพียง 7 แสนบัญชีและที่ซื้อขายสม่ำเสมอเพียง 3 แสนบัญชี จากประชากรทั้งหมด 65 ล้านคน เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเราต้องให้ความรู้แก่คนที่ยังไม่เคยลงทุนในตลาดหุ้นให้เข้าใจไม่ใช่เป็นเกมพนัน "ในปีหน้า ที่สำคัญเน้นการให้บริการลูกค้า เน้นงานวิจัย ให้ความรู้ตราสารใหม่ๆที่ทำให้การซื้อขายหุ้นครบวงจรมากขึ้น โดยงานวิจัยแนะนำซื้อขายหุ้นก็ยังเป็นตัวหลัก รวมทั้งปรับปรุงระบบการซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ต เช่นการให้ข้อมุลซื้อขายผ่านโทรศัพท์มือถือ"นายมนตรีกล่าว นายมนตรี เชื่อว่า บทวิจัยของบริษัทเป็นข้อมูลที่ฉับไวและเป็นข้อมูลที่ดี และมีการอัพเดทข้อมูลข่าวสารทุกวัน งานวิจัยบริษัทได้มีการบันทึกเป็นอินเตอร์เน็ตทีวีผ่านเวบไซด์ของบริษัทซึ่งถือเป็นรายแรกที่นำเสนอข้อมูลการแนะนำหุ้นแบบนี้ ซึ่งลูกค้าได้เข้ามาใช้บริการกันมาก และเข้าถึงลูกค้าได้ดี *หวังเพิ่มรายย่อยมากกว่า 5 พันบัญชี นายมนตรี กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าปีหน้าเพิ่มลูกค้ารายย่อยใหม่ไว้ไม่น้อยกว่า 5 พันบัญชี จากในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง(ต.ค.49-ก.ย.50) KEST มียอดลูกค้าใหม่ประมาณ 4 พันบัญชี ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีลูกค้ารายย่อยทั้งหมด 6 หมื่นบัญชี เป็นบัญชีที่ซื้อขายสม่ำเสมอ 2.7 หมื่นบัญชี ขณะที่บริษัทมีลูกค้าซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ต 7.7 พันบัญชี มีการซื้อขายสม่ำเสมอ 3.7 พันบัญชี ลูกค้ารายย่อยถือเป็นลูกค้าหลักของ KEST โดยมีสัดส่วน 80% ลูกค้าสถาบันต่างประเทศประมาณ 15-16% และ ลูกค้าสถาบัน 4-5% โดยสัดส่วนนี้ยังจะรักษาไว้ในปีหน้า KEST ครองส่วนแบ่งตลาดลูกค้ารายย่อย 13% ของตลาดรวม ลูกค้าสถาบันต่างประเทศมีส่วนแบ่ง 4% และลูกค้าสถาบันในประเทศ 3% ทั้งนี้ ตลาดรวมมีสัดส่วนลูกค้ารายย่อย 50-55% สถาบันต่างประเทศ 35-40% และ สถาบันในประเทศ 10% นายมนตรี กล่าวว่า ลูกค้าของบริษัทเป็นไปตามสภาพตลาดรวม ถ้าตลาดคึกคักรายย่อยก็เข้ามาลงทุนมาก แต่ช่วงต้นปีตลาดซบเซามาก เพราะรายย่อยกังวลต่อสถานการณ์โดยรวม ส่งผลให้สัดส่วนรายย่อยลงไปต่ำกว่า 50% ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วน 40-50% และนักลงทุนสถาบันในประเทศ 10% ขณะที่ในด้านลูกค้าสถาบันต่างประเทศ ปัจจุบันบริษัทได้ใช้เครือข่ายของกิมเอ็งโฮลดิ้งส์ ที่เป็นบริษัทแม่ ซึ่งมีสำนักงานอยู่ทีสิงคโปร์ ฮ่องกง ลอนดอน พร้อมกันนั้น บริษัทแม่ก็ช่วยมองหา Exclusive Partner ให้ KEST ซึ่งก็ยังคุยไปเรื่อยๆยังไม่ลงตัว และเราก็หาเองด้วย เขาก็แนะนำให้ด้วย ที่ผ่านมาคุยไป 1-2 รายแล้ว คาดว่าจะสรุปได้ในปีหน้า "การหา Exclusive Partner จะช่วยเราได้เยอะ ในด้านสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศ ...แต่เราก็ไม่ถึงเร่งด่วนมาก เพราะยอมรับว่าเราก็ยังมีตลาดต่างประเทศของเราอยู่แล้ว" นายมนตรี กล่าว *ดีล IPO ปีหน้าระดมทุนกว่าหมื่นล้าน ด้านธุรกิจวานิชธนกิจ นายมนตรีกล่าวว่า ขณะนี้มีอยู่ 10-15 ดีล โดยเป็นดีลนำหุ้น IPO 3-5 บริษัท เข้าจดทะเบียนในตลาดในปีหน้าที่มียอดระดมทุนมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท นอกนั้นจะเป็นดีลขายหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทจดทะเบียน การควบรวมกิจการ และเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ทั้งนี้ โครงสร้างรายได้บริษัท ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ 88-90%, ธุรกิจวานิชธนกิจ ประมาณ 6-8% ที่เหลือเป็นกำไรจากการลงทุนของบริษัท