ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ BANPU ที่ A+ แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 29, 2021 12:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ. บ้านปู (BANPU) ที่ระดับ "A+" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่"

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงความเป็นผู้นำของบริษัทในอุตสาหกรรมถ่านหินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตลอดจนการมีรายได้ที่แน่นอนจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า และการปรับกลยุทธ์สู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานสะอาดแบบครบวงจรของบริษัท ในขณะเดียวกัน อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความผันผวนของราคาถ่านหินและอุปสงค์ถ่านหินที่ชะลอตัวในระยะยาวซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากความพยายามในการลดมลพิษทางอากาศของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกอีกด้วย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

  • เป็นหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมผลิตถ่านหินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัทเป็นหนึ่งในผู้ผลิตถ่านหินชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกโดยบริษัทเป็นเจ้าของเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย จีน และมองโกเลีย ณ เดือนกันยายน 2564 บริษัทมีปริมาณสำรองถ่านหินที่เหมืองในประเทศอินโดนีเซียและออสเตรเลียรวมทั้งสิ้นจำนวน 560 ล้านตัน โดยปริมาณสำรองถ่านหินที่เหมืองอินโดนีเซียมีปริมาณการผลิตนานประมาณ 16 ปีและที่เหมืองออสเตรเลียนานเกินกว่า 25 ปี ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะมียอดขายถ่านหินจากเหมืองอินโดนีเซียและออสเตรเลียรวมทั้งจากกิจการค้าถ่านหินที่ประมาณ 31 ล้านตันในปี 2564

บริษัทยังมีฐานลูกค้าที่หลากหลายอีกด้วย โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 ยอดขายของบริษัทประมาณ 31% มาจากลูกค้าในประเทศจีน ในขณะที่ 14% มาจากลูกค้าในประเทศญี่ปุ่น และ 13% มาจากลูกค้าในประเทศอินโดนีเซีย ส่วนยอดขายถ่านหินที่เหลือนั้นมาจากลูกค้าในประเทศออสเตรเลีย เกาหลี ไต้หวัน อินเดีย ไทย และประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

  • มีการลงทุนในธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น (Greener and Smarter Portfolio) บริษัทมีการปรับสมดุลพอร์ตการลงทุนจากที่เคยมุ่งเน้นเฉพาะการลงทุนในเหมืองถ่านหินมาสู่การลงทุนในธุรกิจพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น การผลิตก๊าซธรรมชาติและพลังงานหมุนเวียน โดยบริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น (ธุรกิจสำรวจและผลิตก๊าซธรรมชาติ โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ โรงไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงที่ปล่อยมลพิษต่ำ โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน) ให้มีสัดส่วนมากกว่า 50% ของ EBITDA รวมของบริษัทภายในปี 2568 จากสัดส่วนที่ต่ำกว่า 20% ในปี 2563

ทั้งนี้ ในช่วงปี 2559-2563 บริษัทได้มุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติในประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน ส่งผลให้บริษัทมี EBITDA จากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับถ่านหิน (เหมืองถ่านหินและโรงไฟฟ้าถ่านหิน) อยู่ที่ระดับประมาณ 60% และอีกประมาณ 40% มาจากธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564

  • ขยายการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้า บริษัทได้ขยายการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าโดยมุ่งเน้นโรงไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทั้งนี้ ในช่วงเดือนมกราคมจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2564 บริษัทใช้เงินลงทุนไปแล้วประมาณ 595 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อสร้างความเติบโตให้แก่ธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งการลงทุนประกอบด้วยการซื้อสัดส่วนการลงทุน 13.4% ในโรงไฟฟ้านาโกโซซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ใช้เทคโนโลยีแปลงสถานะถ่านหินให้เป็นก๊าซเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง (Nakoso Integrated Gasification Combined Cycle ? Nakoso IGCC) ขนาดกำลังการผลิตรวม 543 เมกะวัตต์ในประเทศญี่ปุ่น การซื้อกิจการ 100% ในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมขนาด 768 เมกะวัตต์ในประเทศสหรัฐฯ (Temple I) การซื้อหุ้น 100% ในโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ 2 แห่งในประเทศออสเตรเลียขนาดกำลังการผลิตรวม 167 เมกะวัตต์ (Beryl & Manildra) และการซื้อหุ้นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพลังงานอื่น ๆ ซึ่งทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 3.9 กิกะวัตต์ในเดือนพฤศจิกายน 2564 จากประมาณ 2.8 กิกะวัตต์ในปี 2563 ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้แก่พอร์ตการลงทุนของบริษัทในโรงไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมรวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพลังงาน

ธุรกิจผลิตไฟฟ้านั้นช่วยสร้างกระแสเงินสดที่สามารถคาดการณ์ได้ให้แก่บริษัทเนื่องจากประมาณ 80% ของโรงไฟฟ้าของบริษัทดำเนินงานภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับผู้ซื้อไฟฟ้าที่น่าเชื่อถือ โดยทริสเรทติ้งประมาณการว่าธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะสามารถสร้าง EBITDA ให้แก่บริษัทได้ที่จำนวนประมาณ 150-180 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในช่วงปี 2565-2566 โดย EBITDA ที่เพิ่มขึ้นนี้สะท้อนถึงผลการดำเนินงานเต็มปีของโรงไฟฟ้า Temple I และ Berly & Manildra ในปี 2565 และเงินปันผลรับจาก Nakoso IGCC และโรงไฟฟ้า Shanxi Lu Guang ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป

  • ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติในประเทศสหรัฐฯ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติของบริษัทมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 โดยสร้าง EBITDA ที่ประมาณ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้แก่บริษัท ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทจำหน่ายก๊าซธรรมชาติได้ประมาณ 184 พันล้านลูกบาศก์ฟุตซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่า 250% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยยอดขายที่เพิ่มขึ้นนี้สะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ได้รับอย่างเต็มที่จากสินทรัพย์ในแหล่ง Barnett ซึ่งบริษัทซื้อมาเมื่อเดือนตุลาคม 2563 นอกจากนี้ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯ ยังส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติ Henry Hub ปรับตัวเพิ่มขึ้น 90% มาอยู่ที่ประมาณ 3.6 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อล้านบีทียู (British Thermal Unit --- BTU) ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 อีกด้วย โดยธุรกิจก๊าซธรรมชาติของบริษัทมีอัตรากำไร (EBTIDA Margin) อยู่ที่ระดับ 52% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564

ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะเพิ่มยอดขายก๊าซธรรมชาติได้เป็นประมาณ 250-260 พันล้านลูกบาศก์ฟุตในปี 2566 จากประมาณ 230-240 พันล้านลูกบาศก์ฟุตในปี 2564 ซึ่งการเพิ่มยอดขายก๊าซธรรมชาตินี้อยู่ภายใต้สมมติฐานที่บริษัทจะมีการลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจดังกล่าวเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตในช่วงที่ราคาก๊าซธรรมชาติยังอยู่ในระดับสูง ทริสเรทติ้งประมาณการว่าธุรกิจก๊าซธรรมชาตินี้จะสร้าง EBITDA ให้แก่บริษัทที่ประมาณ 250-300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในช่วงระหว่างปี 2565-2566 ซึ่งคิดเป็นประมาณ 25%-30% ของ EBITDA รวมของบริษัท

  • ราคาพลังงานในระดับสูงเพิ่ม EBITDA ให้แก่บริษัท การเพิ่มขึ้นของราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติรวมถึงการรับรู้ผลการดำเนินงานของแหล่งก๊าซธรรมชาติ Barnett อย่างเต็มที่ทำให้ EBITDA ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทมี EBITDA เพิ่มขึ้นประมาณ 87% หรือคิดเป็น 810 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งข้อมูลจาก Bloomberg ดัชนีราคาถ่านหิน Newcastle (6,000 kcal) ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากถึง 111% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 122.8 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน จากการขาดแคลนถ่านหินในประเทศจีนเป็นสำคัญ ในขณะที่ราคาจำหน่ายถ่านหินโดยเฉลี่ยของบริษัทเพิ่มขึ้น 46% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นประมาณ 81 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน ทั้งนี้ กำไรขั้นต้นในธุรกิจถ่านหินของบริษัทฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งที่ระดับประมาณ 39% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 จากประมาณ 20% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทริสเรทติ้งประมาณการว่าราคาถ่านหินน่าจะปรับตัวลดลงมาอยู่ในช่วง 80-100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในปี 2565-2566 เนื่องจากกำลังการผลิตถ่านหินจากประเทศจีนรวมทั้งประเทศอินโดนีเซียและอินเดียนั้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้น ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่ากำไรขั้นต้นสำหรับธุรกิจถ่านหินของบริษัทจะปรับตัวลดลงเหลือประมาณ 30%-35% ในปี 2565-2566 นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังประมาณการว่าบริษัทจะมียอดขายถ่านหินที่ประมาณ 31-36 ล้านตันต่อปีในช่วงระหว่างปี 2564-2566 อีกด้วย ทั้งนี้ โดยภาพรวมแล้ว ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมี EBITDA อยู่ในช่วง 1.1-1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในระหว่างปี 2564-2566

  • มีการลงทุนขนาดใหญ่รออยู่ข้างหน้า บริษัทมีแผนการลงทุนที่ประมาณ 3.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงปี 2564-2566 ซึ่งครอบคลุมการซื้อกิจการและสินทรัพย์ในปี 2564 การซ่อมบำรุงและการลงทุนเพื่อการเติบโตจากสินทรัพย์เดิมของธุรกิจถ่านหิน และการลงทุนที่ยังไม่มีข้อผูกมัดเพื่อการขยายธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มทุนที่จำนวนประมาณ 916 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงปี 2564-2566 ประกอบด้วยการเพิ่มทุนและการออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrants) ซึ่งในเดือนกันยายน 2564 บริษัทได้รับเงินเพิ่มทุนรวม 255 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการทำ Right Offering

ในการนี้ ทริสเรทติ้งได้รวมเงินเพิ่มทุนในอนาคตอีก 661 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิในช่วงปี 2565-2566 ที่กำหนดราคาการใช้สิทธิซื้อหุ้นที่จำนวน 5 บาทและ 7.5 บาทต่อหุ้นไว้ในประมาณการด้วยเนื่องจากมีความเป็นไปได้ในการใช้สิทธิจากราคาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่การเพิ่มทุนนี้ไม่เป็นไปตามแผน ทริสเรทติ้งก็เชื่อว่าบริษัทจะมีความยืดหยุ่นในการปรับลดการลงทุนลงเพื่อที่จะควบคุมให้อัตราส่วนเงินกู้ที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นยังคงอยู่ในระดับ 1.2 เท่าตามนโยบายของบริษัท

จากประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทน่าจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับประมาณ 55%-60% ในช่วงปี 2564-2566 จากระดับประมาณ 63% ในปี 2563 ในขณะเดียวกัน อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทก็น่าจะปรับตัวดีขึ้นด้วยเช่นกันโดยอยู่ที่ระดับประมาณ 4-5 เท่าในช่วงประมาณการจากระดับประมาณ 8.7 เท่าในปี 2563 ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของธุรกิจถ่านหิน ตลอดจนการรับรู้ผลการดำเนินงานอย่างเต็มที่จากสินทรัพย์ในแหล่งก๊าซธรรมชาติ Barnett และแผนการเพิ่มทุนของบริษัท

  • สภาพคล่องอยู่ในระดับที่ดี ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีสภาพคล่องอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดย ณ เดือนกันยายน 2564 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดประมาณ 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้ทั้งที่มีเงื่อนไขผูกพันและไม่ผูกพันที่ประมาณ 282 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ บริษัทยังคาดว่าจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ประมาณ 800-900 ล้านดอลาร์สหรัฐฯ ในระยะ 12 เดือนข้างหน้าด้วย ซึ่งแหล่งสภาพคล่องดังกล่าวนั้นถือว่าเพียงพอสำหรับการชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นและระยะยาวรวมถึงการไถ่ถอนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในระยะ 12 เดือนข้างหน้าที่จำนวนประมาณ 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วย
  • โครงสร้างหนี้ ณ เดือนกันยายน 2564 บริษัทมีภาระหนี้รวมอยู่ที่ประมาณ 5.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนประกอบด้วยหนี้ของบริษัทย่อยซึ่งเป็นหนี้ที่มีหลักประกันมูลค่า 62 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และหนี้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันมูลค่า 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อภาระหนี้ทั้งหมดของบริษัทอยู่ที่ระดับประมาณ 20% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

  • ราคาดัชนีถ่านหิน Newcastle จะอยู่ที่ประมาณ 137 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในปี 2564 และประมาณ 80-100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในช่วงปี 2565-2566
  • ราคาก๊าซธรรมชาติ Henry Hub จะอยู่ที่ประมาณ 3.9 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อล้านบีทียูในปี 2564 และประมาณ 3.0 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อล้านบีทียูในปี 2565-2566
  • ยอดขายถ่านหินจากเหมืองอินโดนีเซียและออสเตรเลียจะอยู่ที่ประมาณ 31-36 ล้านตันต่อปีในระหว่างปี 2564-2566
  • ค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนและเงินลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 3.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงปี 2564-2566 ซึ่งรวมถึงการลงทุนที่ไม่มีภาระผูกพัน
  • เงินเพิ่มทุนจากการใช้สิทธิใบสำคัญแสดงสิทธิจะมีมูลค่าประมาณ 661 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2565-2566

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมถ่านหินต่อไป โดยเงินปันผลรับจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่มั่นคงและกำไรที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากความผันผวนของอุตสาหกรรมถ่านหินลงได้บางส่วน ในขณะที่สภาพคล่องทางการเงินที่ดีจากการมีวินัยทางการเงินและการบริหารเงินสดที่ระมัดระวังจะช่วยให้บริษัทสามารถประคองตัวผ่านพ้นสถานการณ์ที่อุตสาหกรรมมีความผันผวนไปได้

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทมีสถานะทางการเงินที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหรือมีกระแสเงินสดที่มีเสถียรภาพมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากบริษัทมีผลการดำเนินงานอ่อนแอกว่าที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้เป็นอย่างมาก ซึ่งกรณีดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้หากราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติลดลงจากระดับที่คาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การลงทุนโดยการก่อหนี้เพิ่มจนส่งผลให้โครงสร้างเงินทุนและกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญและอย่างต่อเนื่องก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่อาจส่งผลให้มีการปรับลดอันดับเครดิตลงได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ