ดัชนีสเตรทส์ไทม์ตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดร่วงลงในวันนี้ (13 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐ รวมถึงราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องและวิกฤตการณ์ซับไพรม์ระลอกใหม่ ตลาดได้รับปัจจัยลบจากวิกฤตการณ์สินเชื่อทั่วโลก Carlyle Capital Corp ซึ่งเป็นบริษัทกองทุนของลอนดอน คาดการณ์ว่า บรรดาเจ้าหนี้อาจเข้ายึดครองสินทรัพย์ที่ยังเหลืออยู่ของบริษัท หลังจากที่บริษัทไม่ประสบความสำเร็จในการเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้ในการผลัดนัดชำระหนี้เพื่อป้องกันไม่ให้กองทุนขาดสภาพคล่อง จนถึงขณะนี้หลักทรัพย์ต่างๆ มูลค่ากว่า 5 พันล้านดอลลาร์ของบริษัท Carlyle ได้ถูกขายไปแล้ว แต่กองทุนแห่งนี้ได้พยายามเจรจากับบรรดาธนาคารพาณิชย์ในการผลัดนัดชำระหนี้ที่เหลืออยู่ 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ ปัจจัยบวกจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการธนาคารเพิ่มขึ้นอีก 2 แสนล้านดอลลาร์นั้นก็เริ่มจางหายไป เนื่องจากนักลงทุนเริ่มไม่แน่ใจว่ามาตรการดังกล่าวจะมีประสิทธิภาพ "ความเคลื่อนไหวของเฟดครั้งล่าสุดเพื่อต่อสู้กับปัญหาสินเชื่อได้ส่งผลให้ตลาดพุ่งขึ้นจากการซื้อเพื่อชดเชยการทำช็อตเซลล์ (short covering) แม้ว่าจนถึงขณะนี้ตลาดจะร่วงลงก็ตาม" เชน โอลิเวอร์ หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุน และหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากเอเอ็มพี แคปิตอล พาร์ทเนอร์สในซิดนีย์กล่าว "มีความเป็นไปได้ที่ตลาดอาจทรุดลงอีก และเข้าสู่ช่วงขาลงมากขึ้นในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า เพราะมีกระแสคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะย่ำแย่ลงก่อนที่ฟื้นตัวขึ้น" เขากล่าว สำนักข่าวธอมสันไฟแนนเชียลรายงานว่า ดัชนีสเตรทส์ไทม์ร่วง 112.39 จุด หรือ 3.9% ปิดที่ 2,805.55 จุด โดยมีปริมาณการซื้อขาย 1.55 พันล้านหุ้น มูลค่า 1.91 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์