(เพิ่มเติม) IRP คาดปี 51 ทำรายได้ 3.6-4 หมื่นลบ./เข้าซื้อรง.เพิ่มในฮอลแลนด์-อังกฤษ

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday March 14, 2008 11:59 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บมจ. อินโดรามา โพลีเมอร์ส(IRP)คาดรายได้รวมปี 51 จะเพิ่มขึ้นมาที่ประมาณ 3.6-4.0 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 25,599 ล้านบาท โดยมาจากการขยายโรงงานในประเทศไทยที่จะแล้วเสร็จในเดือนก.ค.นี้ ซึ่งจะทำให้กำลังผลิตเพิ่มเป็น 1.8 แสนตัน/ปี จาก 1.26 แสนตัน/ปี 
นอกจากนี้ ยังมาจากการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากโรงงานในยุโรปที่บริษัทจะเข้าไปซื้อกิจการ 2 แห่ง คือ ที่เนเธอร์แลนด์และอังกฤษ ซึ่งโรงงาน 2 แห่งดังกล่าวมีกำลังผลิตรวมกัน 355,000 ตัน/ปี คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 59 ล้านยูโร หรือคิดเป็นต้นทุนการลงทุนสายการผลิตที่ 116 เหรียญ/ตัน ต่ำกว่าการสร้างโรงงานใหม่ที่จะต้องใช้เงินราว 450 เหรียญ/ตัน คาดว่าบริษัทจะสามารถเข้าไปบริหารงานในเดือนหน้า
บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาแผนขยายการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มเติมอีก ได้แก่ บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย และ จีน โดยตั้งงบลงทุนปี 51-52 ทั้งในประเทศและต่างประเทศกว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
"การที่บริษัทเข้าไปซื้อกิจการ 2 แห่ง จะเป็นการรองรับความต้องการตลาดในยุโรปทั้งตะวันออกและตะวันตก อีกทั้งยังทำให้ต้นทุนค่าขนส่งลดลง โดยเม็ดเงินในการเข้าซื้อจะแบ่งเป็นเงินทุนหมุนเวียน 500 ล้านบาท และอีก 2.5 พันล้านบาท เป็นเงินกู้ โดยปัจจุบันบริษัทมีกำลังผลิตรวมทั้งโรงงานในไทย ยุโรป และอเมริกา 8.7 แสนตันต่อปี และในปี 52 บริษัทจะเพิ่มกำลังการผลิตที่อเมริกา จะทำให้กำลังผลิตเป็น 4.3 แสนตันต่อปี อย่างไรก็ตาม โรงงานทั้งสองแห่งที่ซื้อปีนี้อาจยังผลิตได้ไม่เต็มที่คาดว่าจะได้ประมาณ 2.7 แสนต่อปี แต่ปีหน้าจะเต็ม 100%" นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร IRP กล่าว
นายอาลก กล่าวต่อว่า บริษัทยังมีแผนขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาประเทศที่จะเข้าลงทุน ไม่ว่าจะเป็นบราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน เนื่องจากประเทศเหล่านี้มีความต้องการเม็ดพลาสติก PET สูง ขณะที่ยังมีอัตราการเติบโตของจีดีพีสูง 7-10% โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณารูปแบบการเข้าไปลงทุน ซึ่งอาจจะเป็นการร่วมทุน หรือการเข้าไปลงทุนเอง ซึ่งเรื่องนี้จะต้องใช้ระยะเวลาอย่างรอบคอบก่อนที่จะที่จะตัดสินใจ
ในปีนี้ บริษัทจะพยายามบริหาร Spread ให้อยู่ที่ 230 เหรียญต่อตัน ซึ่งสูงขึ้นจาก 212 เหรียญต่อตันในปี 50 เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น รวมถึงราคาในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย โดยมองว่าจะเห็นสัญญาณการปรับราคาที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 2 ขณะเดียวกันการที่บริษัทมีโรงงานใหม่ในยุโรปจะทำให้ยอดขายมากขึ้น ขณะที่ต้นทุนก็จะลดลง โดยจากการขยายการลงทุนในยุโรปทำให้มองว่าสัดส่วนการขายในปีนี้จากยุโรปจะเพิ่มขึ้นจากปี 50 ที่สัดส่วนการขายของบริษัทมาจากยุโรป 42% อเมริกาเหนือ 41% ไทย 10% อื่นๆ 7%

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ