CONSENSUS: (เพิ่มเติม) โบรกฯเชียร์ซื้อ SCC หลังราคาหุ้นรับข่าวร้ายแล้ว-ส่งเอสซีจีเคมิคอลเข้าตลาด

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday April 25, 2022 10:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ส่วนใหญ่แนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย แม้ว่าผลประกอบการในไตรมาส 1/65 จะอ่อนตัวลงรับแรงกดดันจากต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน แต่ราคาหุ้นได้รับปัจจัยลบไปพอสมควรทำให้ปัจจุบันอยู่ในระดับที่น่าลงทุน หรืออาจรอให้ประกาศงบไตรมาส 1/65 ในช่วงปลายเดือนเม.ย.ก่อนค่อยหาจังหวะเข้าสะสม เนื่องจากมองครึ่งปีหลังผลประกอบการน่าจะดีขึ้น อีกทั้งบริษัทจะนำ เอสซีจีเคมิคอล เข้าตลาดหุ้นในครึ่งหลังปีนี้

ทั้งนี้ ประเมินกำไรสุทธิในไตรมาส 1/65 อยู่ที่ 7.8-9.1 พันล้านบาท ลดลง 39-48% YoY และ ลดลง 6% ถึงเพิ่มขึ้น 10% QoQ หลังจากทุกธุรกิจมีต้นทุนสูงขึ้น ทำให้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์แคบลง และส่งผลให้โบรกฯ บางแห่งปรับประมาณการกำไรสุทธิในปี 65-66 ลงไปบ้างจากกำไรในช่วงครึ่งแรกหดตัว รวมทั้งปรับราคาเป้าหมายลง

ราคาหุ้น SCC เมื่อเวลา 10.08 น.อยู่ที่ 361.00 บาท ลดลง 1.00 บาท (-0.28%) ขณะที่ดัชนี SET ลบ 0.89%

          โบรกเกอร์          คำแนะนำ          ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
          บัวหลวง             ซื้อ                 480.00
          ทรีนีตี้               ซื้อ                 475.00
          เมย์แบงก์            ซื้อ                 462.00
          หยวนต้า             ซื้อ                 460.00
          ไทยพาณิชย์          Neutral             420.00

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโส และนักกลยุทธ์ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ทิศทางกำไรสุทธิในไตรมาส 1/65 ของ SCC น่าจะปรับตัวลงหลังจากธุรกิจปิโตรเคมีมีต้นทุนแนฟทาที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน และพ้นระยะรอรับเงินปันผลไปแล้ว

ไตรมาส 1/65 คาดว่ากำไรสุทธิของ SCC อยู่ที่ 9.1 พันล้านบาท ลดลง 39% YoY แต่เพิ่มขึ้น 10% QoQ ซึ่งจะประกาศงบในวันที่ 27 เม.ย.นี้ จากเดิมที่คาดว่าจะฟื้นตัว YoY กลับถูกกดดันด้วยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและความต้องการที่ลดลง กดดันราคาผลิตภัณฑ์ จึงปรับลดประมาณการกำไรปี 65 และ 66 ลดลง 18% และ 2% จากต้นทุนที่สูงขึ้น ส่งผลราคาเป้าหมายลดลง 17% เหลือ 462.50 บาท อิงค่าเฉลี่ย DCF (500 บาท) และ GGM (425 บาท) ที่ 6.4% WACC, 2% G และ 13.1% ROE

อย่างไรก็ตาม นายวิจิตร มองว่า หุ้น SCC มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี รวมทั้งบริษัทในเครือก็มีโอกาสเติบโต แต่จังหวะเข้าลงทุนก็ต้องดูให้ดี โดยราคาหุ้น underperform ซึ่งที่ผ่านมาราคาก็รับรู้ปัจจัยลบไปแล้ว แนะนำให้รองบไตรมาส 1/65 ออกมาก่อนค่อยจับจังหวะเข้าลงทุน

"แนะนำซื้อหลังงบไตรมาส 1/65 ออกในช่วงปลายเดือน อาจได้ราคาค่อนข้างดี ปลอดภัย ตอนนี้น้ำมันพีคไปแล้ว น้ำมันค่อยๆถอยมา สเปรดน่าจะดีขึ้น และบริษัทเอสซีจีเคมิคอล จะเข้าตลาดในครึ่งปีหลัง ให้เป้าหมาย 462.50 บาทแนะนำ"ซื้อ" ถือว่ายังมีอัพไซด์ ที่ผ่านมารับรู้ข่าวร้ายไปบ้างแล้ว"นายวิจิตร กล่าว

ขณะที่ บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แม้ SCC จะมีแนวโน้มที่ไม่สดใสนักในช่วงครึ่งปีแรกของปี 65 แต่กำไรมีแนวโน้มฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง หนุนโดยการฟื้นตัวในทุกธุรกิจ นอกจากนี้ มูลค่าหุ้นปัจจุบันของ SCC อยู่ในระดับน่าลงทุน โดยซื้อขายที่ PBV ณ สิ้นปี 65 ที่ 1.2 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 2.2 เท่า อยู่ 1.6 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) พร้อมอัตราตอบแทบจากเงินปันผลปี 65 ที่ 4.2% (เทียบกับค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ที่ 2.7%)

บัวหลวง คาดว่า SCC จะรายงานกำไรสุทธิ 1/65 ที่ 7,821 ล้านบาท (ลดลง 48% YoY และ 6% QoQ) โดยถูกกดดันจากกำไรพิเศษจากสินค้าคงคลังที่ลดลงและผลการดำเนินงานที่อ่อนตัวลง หากไม่รวมรายการพิเศษ กำไรหลักไตรมาส 1/65 คาดว่าจะอยู่ที่ 6,996 ล้านบาท (ลดลง 49% YoY และลดลง 5% QoQ) เป็นผลมาจากจากกำไรที่ลดลงในทุกธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจปิโตรเคมี, ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง (CBM), และธุรกิจบรรจุภัณฑ์

ธุรกิจปิโตรเคมีมีแนวโน้มที่จะรายงานกำไรที่ลดลงทั้ง YoY และ QoQ ในไตรมาส 1/65 เนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่อ่อนตัวลง ปริมาณขายคาดว่าจะทรงตัว YoY และ QoQ หนุนโดยอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง สำหรับมุมมองของมาร์จิ้น ส่วนต่างราคาปิโตรเคมีส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง YoY และ QoQ เนื่องจากฐานที่สูงในไตรมาส 1/64 (ตลาดปิโตรเคมีมีความตึงตัวเป็นพิเศษ ในครึ่งแรกของปี 2564 เนื่องจากพายุฤดูหนาวในสหรัฐอเมริกา ทำให้โรงงานปิโตรเคมีหยุดดำเนินงานนอกแผนเป็นจำนวนมาก) และต้นทุนวัตถุดิบแนฟทาเพิ่มขึ้นอย่างมากตามทิศทางของราคาน้ามันที่ปรับตัวสูงขึ้น

คาดว่ากำไรของธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง จะลดลง YoY ท่ามกลาง อุปสงค์ที่ลดลงและอัตรากำไรที่ลดลง แต่กำไรของธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น QoQ หนุนโดยอุปสงค์ที่ปรับตัวดีขึ้นและอัตรากำไรที่ขยายตัว บริษัทได้ดำเนินการปรับราคาขึ้นในช่วงไตรมาสดังกล่าวตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นซึ่งช่วยเพิ่มอัตรากำไร

ส่วนกำไรของธุรกิจบรรจุภัณฑ์มีแนวโน้มอ่อนตัวลง YoY เป็นผลมาจากอัตรากำไรที่ลดลง อย่างไรก็ตามอุปสงค์ที่แข็งแกร่งและรายได้จากสินทรัพย์ที่ได้มาระหว่างปี 2564 ซึ่งได้แก่ Go-Pak, Duy Tan, Intan และ Deltalab น่าจะช่วยบรรเทาการปรับตัวลดลงของกำไร YoY ได้บางส่วน ในด้าน QoQ กำไรของธุรกิจบรรจุภัณฑ์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่ปรับตัวดีขึ้น, ช่วง ไฮซีซั่น, และการฟื้นตัวของอัตรากำไร

แนวโน้มกำไรหลักไตรมาส 2/65 ของ SCC คาดว่าจะอ่อนตัวลง YoY และ QoQ เนื่องจากกำไรที่ลดลงลงในทุกธุรกิจได้แก่ ธุรกิจปิโตรเคมี (ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลง), ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง (CBM) (อุปสงค์ที่ลดลงและช่วงโลว์ซีซั่น), และธุรกิจบรรจุภัณฑ์ (อัตรากำไรที่ลดลงและอุปสงค์ที่ชะลอตัวลงตามฤดูกาล) ผลประกอบการของบริษัทคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น HoH ในครึ่งหลังของปี 2565 หนุนโดยผลการดาเนินงานที่ดีขึ้นในทุกธุรกิจ (อุปสงค์ที่ปรับตัวดีขึ้นและอัตรากาไรที่เพิ่มขึ้น) แนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่สูงอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบแนฟทาทรงตัวอยู่ในระดับสูง และมีแนวโน้มกดดันกาไรของธุรกิจปิโตรเคมี เราจึงปรับประมาณการกำไรสุทธิลดลง 24% เป็น 37,321 ล้านบาทสำหรับปี 2565 และ 4% โดยเฉลี่ยสำหรับประมาณการกำไรในระยะยาว และปรับลดราคาเป้าหมายด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสด ณ สิ้นปี 2565 เป็น 480 บาท จาก 550 บาท (WACC ที่ 9.0%, terminal growth ที่ 2.0%)

ด้านบทวิเคราะห์ บล.ทรีนิตี้ ระบุคงคำแนะนำ "ซื้อ" และราคาเป้าหมายที่ 475.00 บาท อิง SOPT หรือเทียบเท่า EV/EBITDA ที่ 11 เท่า ปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายที่ -1SD EV/EBITDA และ -1.5SD PBV และ 1 เดือนราคาหุ้นปรับลง -5% เราเชื่อว่าได้สะท้อนผลการดำเนินงานที่คาดว่าจะอ่อนตัวในปีนี้ไปแล้ว เป็นจังหวะดีในการเข้าสะสม และรอการฟื้นตัวในปี 2566

ทั้งนี้ ประเมินกำไรสุทธิในไตรมาส 1/65 ของ SCC ที่ 8.8 พันล้านบาท -40% YoY, +8% QoQ ลดลง YoY มาจากส่วนต่างปิโตรเคมีที่ลดลงกว่า -28% ในขณะที่ +QoQ จาก ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่ดีขึ้น และมี Stock gain ที่เพิ่มขึ้น

คาดธุรกิจปิโตรเคมี Operating EBITDA อยู่ที่ 4.5 พันล้านบาท -58% YoY, -18% QoQ ส่วนต่างราคาของ HDPE-Naphtha ลดลงเหลือ USD420/ton -29% YoY, -17% QoQ

ธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง (CBM) คาดว่าจะมี EBITDA ที่ 4.8 พันล้านบาท -27% YoY, +2% QoQ ซึ่งเราประเมินว่า EBITDA Margin จะยังใกล้เคียงกับไตรมาส 4/64 ที่ 10.3% ด้วยราคาขายที่ปรับขึ้น และการลดต้นทุนช่วย offset กับต้นทุนพลังงาน

ทั้งนี้ คงประมาณการกำไรปี 65 ที่ 4.4 หมื่นล้านบาท ด้วยมุมมอง conservative บนสมมติฐาน CBM EBITDA Margin 8% และ ส่วนต่าง HDPE-Naphtha USD550/ton ทั้งนี้ทางบริษัทยังคงเร่งปรับราคาขายปูนซีเมนต์เพื่อสะท้อนต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น และหันมาใช้เชื้อเพลิงอื่นแทนถ่านหินที่ปรับเพิ่มขึ้น เพื่อที่จะผลักดันให้ EBITDA ของธุรกิจ CBM กลับไประดับ 10-15%

https://youtu.be/SajmJR9zWvI


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ