NER เล็งลงทุน 540 ลบ.ช่วงที่เหลือปีนี้ขยายการผลิต-ศูนย์ R&D ปลายน้ำ-ลดต้นทุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday May 11, 2022 11:07 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งงบลงทุนในช่วง 9 เดือนที่เหลือของปีนี้ราว 540 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตยางพารา แผ่นปูรองปศุสัตว์ งบวิจัยและพัฒนาสินค้าปลายน้ำ พร้อมแผนลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายบริษัท

1. งบลงทุน 90 ล้านบาทแรก ขยายกำลังการผลิตยางแท่งแห่งที่ 2 โดยการลงทุนเครื่องมือ เครื่องจักร เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตได้อีก 5 หมื่นตัน/ปี ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 5.16 แสนตัน/ปี นอกจากนี้บริษัทได้เจรจากับโรงงานยางเพื่อให้แปรรูปยาง STR ผ่าน OEM ซึ่งเป็นการเพิ่มกำลังการผลิตรวมได้อีกราว 4 หมื่นตัน/ปี ทำให้กำลังการผลิตของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 5.56 แสนตัน/ปี

2. โครงการแผ่นปูรองปศุสัตว์ เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า ปัจจุบันอยู่ระหว่างนำเข้าเครื่องจักร กำลังการผลิตอยู่ที่ 1 ล้านชิ้น/ปี งบลงทุนราว 210 ล้านบาท

3. โครงการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อประหยัดพลังงานและลดค่าใช้จ่าย โดยติดตั้งเพิ่ม 4 เมกกะวัตต์ ส่งผลให้ในปี 65 บริษัทจะมีแผงโซลาร์เซลล์รวม 5 เมกกะวัตต์ ใช้งบลงทุน 100 ล้านบาท คาดจะช่วยลดค่าไฟฟ้าได้ราว 12 ล้านบาท/ปี

4. โครงการหุ่นยนต์ดึงยาง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในสายการผลิตและลดต้นทุนแรงงาน ใช้งบลงทุน 40 ล้านบาท

5. โครงการก่อสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาสินค้าสำเร็จรูปสำหรับสินค้าในกลุ่มปลายน้ำเพื่อเพิ่มรายได้และประสิทธิภาพการทำกำไรในระยะยาว งบลงทุน 100 ล้านบาท

นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมยางพาราธรรมชาติอยู่ในช่วงฟื้นตัว ก่อนหน้านี้เกิดมาจากซัพพลายของอินโดนีเซียที่หายไป และคาดว่าอีก 3 ปีจึงจะมีซัพพลายออกมาในตลาด รวมทั้งอุตสาหกรรรมยานยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากรถไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศจีนเริ่มเป็นที่ยอมรับมากขึ้นและสามารถเจาะตลาดรถยนต์ได้ในหลายประเทศ

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานของ NER ไตรมาส 1/65 มีกำไรสุทธิ 468.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 102.39 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 27.94% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 0.266 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้ บริษัทมีปริมาณขาย 96,350 ตัน เพิ่มขึ้น 6,609 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 7.36% คิดเป็นรายได้จากการขายรวม 5,592.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 629.52 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12.68% แบ่งเป็นรายได้จากการขายในประเทศ 3,222.30 ล้านบาท หรือคิดเป็น 57.62% และรายได้จากการขายต่างประเทศ 2,370.31 ล้านบาท หรือคิดเป็น 42.38% ของยอดขายรวม โดยยอดขายต่างประเทศเพิ่มขึ้น 862.28 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 57.18%

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้รายได้เพิ่มขึ้นมาจากการที่บริษัทได้รับคำสั่งซื้อของลูกค้าต่างประเทศเพิ่มขึ้น ทำให้ปริมาณขายสูงขึ้น และราคาขายขยับตัวสูง โดยผลต่างปริมาณขายเพิ่มขึ้น 205.91 ล้านบาท และผลต่างราคาปรับตัวสูงขึ้นที่ 423.61 ล้านบาท นอกจากนี้ต้นทุนวัตถุดิบลดลงจากการบริหารการซื้อและใช้วัตถุดิบได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการบริหารความเหมาะสมระหว่างราคาซื้อและราคาขายได้ค่อนข้างดี ประกอบกับงราคายางพาราปรับตัวมาอยู่ในทิศทางขาขึ้นส่งผลดีกับผลการดำเนินงานของบริษัท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ