TVD ทรานส์ฟอร์มเป็น Super Holdings กระจายธุรกิจหลากหลาย-ลงทุนคริปโทฯ

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 2, 2022 15:55 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ประธานกรรมการ บมจ.ทีวี ไดเร็ค (TVD) เปิดเผยว่า มติคณะกรรมการชุดใหม่ของ TVD อนุมัติวาระการประชุมที่สำคัญเพื่อให้เป็นไปตามแผนธุรกิจที่จะทรานส์ฟอร์มบริษัทเป็น Super Holdings ทั้งการปรับ เปลี่ยน ลด เพิ่ม ครบทุกรายละเอียด เพื่อเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจและนำบริษัทกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง พร้อมอนุมัติเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บมจ. ทีวีดี โฮลดิ้งส์ หรือ TVD Holdings PLC (TVDH)

"บทบาทใหม่ของ TVDH จะมุ่งให้การสนับสนุนทุกบริษัทในเครือทั้งด้านการเงิน การจัดสรรเงินลงทุนในธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยจะมีการถ่ายโอนอำนาจการบริหารงานในแต่ละบริษัทฯ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน ซึ่งรูปแบบการบริหารงานที่มีลักษณะเป็น Modular จะทำให้แต่บริษัทเกิด Agility (ความคล่องตัว) และ Resilience (ความยืดหยุ่น) อย่างไรก็ตาม TVDH ซึ่งเป็นโฮลดิ้งคัมปานียังคงดูแลบริษัทในเครืออย่างใกล้ชิดและพร้อมให้การสนับสนุนตลอดเวลา จึงเชื่อว่าด้วยแนวทางนี้จะทำให้บริษัทก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วมากขึ้น" นายพงษ์ภาณุ กล่าว

นายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TVD กล่าวว่า ในหลักการปรับโครงสร้างบริษัทได้เตรียม Spin Off ธุรกิจ B2C และตั้งบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อ บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด หรือ TV Direct Co., Ltd. โดยมี TNDH ถือหุ้น 100% เพื่อดำเนินธุรกิจการตลาดแบบตรงผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ อีคอมเมิร์ซ, ทีวีช้อปปิ้ง และคอลล์เซ็นเตอร์

พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนระบบเทคโนโลยีใหม่ทั้งหมด ทั้งระบบการทำงานกลาง ระบบ Live Commerce เพื่อให้เกิดกระบวนการทำงานที่สั้นลง สะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น รวมถึงจัดสรรบุคลากรใหม่ให้เกิดความคล่องตัว อย่างไรก็ตามจากการเกิด Disruption ที่มีผลให้จำนวนคนดูทีวีลดลง โดยเฉพาะกลุ่มดาวเทียมและการเกิดคู่แข่งรายใหม่ จึงคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทฯ จะติดลบลดลง แต่จะเข้าสู่จุด Break Even ภายในไตรมาส 3/65

"ตามขั้นตอนของการ Spin Off บริษัทใหม่ จะต้องซื้อธุรกิจ B2C จาก TVDH โดยในส่วนนี้ได้มอบหมายให้บริษัท Capital Advantage ทำการประเมินราคาคาดว่าจะได้ราคาสุดท้ายในช่วงกลางเดือนมิถุนายนนี้ หลังจากนั้นบริษัทจะดำเนินการตามขั้นตอนให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป" นายทรงพล กล่าว

สำหรับธุรกิจ B2B นั้น คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด เข้าซื้อหุ้นรายย่อยของ บริษัท เอบีพีโอ จำกัด (ABPO) ทั้ง 22.69% ในราคา Fair Value เป็นจำนวนเงิน 44,192,247 บาท เพื่อให้การดำเนินงานต่อจากนี้ไม่ต้องกังวลเรื่อง Inter - Related Transaction (รายการที่เกี่ยวโยงกัน) และทำให้การดำเนินงานและการลงทุนโดย TVDH สามารถทำได้ทันที เนื่องจากเป็นโฮลดิ้งส์ที่ถือหุ้น 100%

นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ยังมีมติอนุมัติหลักการเข้าซื้อหุ้นอีก 2 บริษัทที่ ABPO ลงทุนอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่

1) บริษัท ทีวีดี โบรกเกอร์ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจนายหน้าประกันภัย มีทุนจดทะเบียน 55 ล้านบาท โดยได้ว่าจ้างบริษัท Capital Advantage ทำการประเมินราคา Fair Value คาดว่าจะสรุปราคาสุดท้ายกลางเดือน มิ.ย.นี้ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนซื้อกิจการต่อไป

และ 2) บริษัท ฟู้ด ออเดอรี่ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพที่ได้รับการคัดเลือกจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) เป็น matching fund โครงการแรกด้วยทุน matching 45 ล้านบาท โดยปัจจุบัน ABPO ถือหุ้น 10.10% คิดเป็นเงินลงทุน 15 ล้านบาท และบริษัท ฟู้ด ออเดอรี่ ได้ระดมทุน Crowdfunding กับ Sinwattana, Platform ซึ่งได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. ในราคาหุ้นละ 3,400 บาท และมีผู้ลงทุนเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามหลัก Share Base TVDH จะซื้อเงินลงทุนจาก ABPO เป็นวงเงินทั้งสิ้น 34 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ ABPO มีกำไรจากการขายเงินลงทุน 19 ล้านบาท และหลังจากนี้ไม่ต้อง Double Consolidation อีกต่อไป ส่งผลให้การทำงานจะมีความชัดเจนมากขึ้น

นายทรงพล กล่าวต่อว่า สำหรับการลงทุนในธุรกิจแห่งอนาคตอย่าง Blockchain Technology ได้แก่ การลงทุนใน Tokenization (สินทรัพย์ดิจิทัล) and Cryptocurrency (สกุลเงินดิจิทัล) จะใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 55 ล้านบาทใน 3 โครงการ ดังนี้

1) โครงการ Crypto Mining ใช้เงินลงทุนก้อนแรก 25 ล้านบาท คำนวณจากความสามารถของเทคโนโลยีเครื่องขุดและราคา BITCOIN ในปัจจุบันที่ช่วง 25,000-30,000 เหรียญสหรัฐต่อ 1 BITCOIN จะยังมีผลกำไรไม่มาก (หลังหักค่าใช้จ่ายทั้งค่าไฟและค่าเสื่อม) แต่หากราคา BITCOIN สูงกว่า 30,000 เหรียญสหรัฐต่อ 1 BITCOIN ขึ้นไป จะสร้างกำไรได้ประมาณ 18-25% และบริษัทเตรียมขยายการลงทุนเครื่องขุดชุดที่สองอีก 25 ล้านบาทสำหรับเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังจะออกมาปลายปีนี้

2) ร่วมลงทุนในโครงการ Node Validator (ผู้ตรวจสอบธุรกรรมบน Block Chain) ของ BITKUB ซึ่งจะเป็น 1 ใน 10 NODE ที่ได้รับเลือกในรอบปี 65-66 โดยจะทำหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้อง (Validation) เพิ่มเติมสำหรับบัญชี แยกประเภท (Ledger) ทำให้ทุกคนสามารถดูธุรกรรมหรือข้อมูลที่ดำเนินการหรือเก็บไว้ในเครือข่ายได้อย่างโปร่งใส ทำให้แน่ใจว่าระบบ Blockchain ของ Kub มีความถูกต้อง ปลอดภัยและสามารถเข้าถึงได้โดยบุคคลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น บริษัทคาดผลตอบแทนราว 12% ของจำนวนเหรียญ KUB ที่ลงทุน หรือราว 15,000 เหรียญต่อปี จากจำนวนทั้งหมดที่ลงทุน 125,000 เหรียญ ซึ่งบริษัทจะใช้เงินลงทุน 15 ล้านบาทในช่วง 12 เดือนจากนี้

3) โครงการ POS (Proof of Staking) เป็นระบบปันผลแบบ PASSIVE INCOME ในโลกของ Crypto โดยเป็นการวางเงินค้ำประกันเพื่อได้รับเหรียญโดยไม่ต้องทำการขุด โดยปกติการถอดรหัสแบบ Proof of work เป็นการขุดเหรียญแบบทั่วไป แต่ POS เป็นการวางเงินค้ำประกัน ดังนั้นบริษัทจึงไม่ต้องขุดและไม่ต้องถอดรหัส ส่งผลให้ธุรกรรมของ BLOCKCHAIN นั้นๆ ทำได้รวดเร็วขึ้นมาก โดยบริษัทจะใช้เงินลงทุนเริ่มต้น 15 ล้านบาท

นายทรงพล กล่าวว่า บริษัทมั่นใจว่าการดำเนินธุรกิจ Blockchain มีความปลอดภัยและคุ้มค่า รวมถึงได้เรียนรู้กระบวนเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีอย่างใกล้ชิดเพื่อเตรียมทำโครงการ Tokenize จากธุรกิจของบริษัทเองต่อไป โดยคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้บริษัท ทีวีดี เอ็ม จำกัด (TVD Monetary) เป็นบริษัทหลักในการดำเนินธุรกิจ Blockchain

ทั้งนี้ เนื่องจาก TVDH จะมีการลงทุนในอีกหลายโครงการ ประธานกรรมการบริษัทฯ จึงได้เสนอกรรมการ ให้จัดตั้งคณะทำงาน 2 ชุด ได้แก่ คณะกรรมการการลงทุนและคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง เพื่อวิเคราะห์การลงทุนอย่างรอบคอบ ลดความเสี่ยงและดำเนินการทุกอย่างถูกต้องตามขั้นตอน และติดตามการบริหารโครงการที่ลงทุนนั้นๆ นอกจากนี้ ยังเพิ่มกรรมการบริษัทฯ เป็น 12 คน จากปัจจุบัน 9 คน โดยจะนำเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (EGM) ในวันที่ 30 มิ.ย.นี้ โดยหนึ่งกรรมการใหม่ คือบุตรชายของนายวิชัย ทองแตง ที่เข้ามารับตำแหน่งกรรมการและรองประธานกรรมการบริษัทฯ

นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติให้นำเสนอที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อมอบอำนาจให้คณะกรรมการมีอำนาจดำเนินการ General Mandate เพิ่มทุนอีกไม่เกิน 30% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว คิดเป็นจำนวนหุ้นที่ 513,460,001 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น ด้วยวิธีเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน (RO) ภายใน 12 เดือนเพื่อใช้รองรับการลงทุนต่างๆ ต่อไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ