สำหรับราคาหุ้น ถือว่ายังมีอัพไซด์ค่อนข้างมากจากราคาปัจจุบัน จึงแนะนำซื้อ โดยให้ระมัดระวังเรื่องของต้นทุนที่สูงขึ้นด้วย
นางสาววิชชุดา ปลั่งมณี ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนะนำซื้อ จากงาน ในมือเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงยังมีงานที่รอเซ็นสัญญา ได้แก่ งานอุโมงค์ระบายน้ำ บางบาล-บางไทร วงเงิน 3.2 พันล้านบาท ซึ่งจะหนุน งานในมือของ CK เพิ่มขึ้นเป็น 6.4 หมื่นล้านบาท นอกจากนั้น ยังมีงานที่รอเซ็นสัญญา คือ งานโรงไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบาง วงเงิน ราว 8-9 หมื่นล้านบาท คาดเซ็นสัญญาได้ภายใน ปี 65 จะหนุนงานในมือของ CK เข้าสู่ระดับแสนล้านบาท
ขณะที่ CK ยังมีงานใหม่รออยู่อีกมาก ซึ่งนอกจากรถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนต่อขยาย (ตลิ่งชัน -ศูนย์วัฒนธรรม) วงเงินก่อสร้าง ราว 1.27 แสนล้านบาท ก็จะมีงานทางด่วน ขั้นที่ 2 วงเงินราว 3.1 หมื่นล้านบาท งานอุโมงค์ระบายน้ำบางบาล-บางไทร วงเงินราว 5 พันล้านบาท (เป็นงานต่อเนื่องจากงานที่ CK อยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญา) งานสนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 3 วงเงินราว 8 พันล้านบาท รวม ถึงโครงการจากงบประมาณของกทม. ซึ่งครม.อนุมัติ แล้ว 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท พร้อมกันนี้ยังมีงานจาก Mega Project เช่น รถไฟทางคู่ เฟส 2 และงานรถไฟฟ้าสีแดงส่วนต่อขยาย ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ทางกระทรวงคมนาคมได้มีการให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าจะเริ่มต้นประกวดราคา 3 เส้นทาง วงเงิน 2.2 หมื่นล้านบาทก่อน โดยมีกรอบเวลา การประมูลระหว่างเดือน มิ.ย-ต.ค 65 ทั้งนี้มีมูลค่างาน โดยรวมที่บริษัทพร้อมเข้าประมูลราว 2.2 แสนล้านบาท สำหรับความกังวลเรื่องราคาวัสดุก่อสร้าง และค่าแรง ทาง CK คาดว่าจะสามารถบริหารจัดการได้ และยังอยู่ในความควบ คุม โดยโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบาง ได้มีการทบทวนเรื่องราคาวัสดุก่อสร้างเพื่อให้สอดคล้องกับราคาปัจจุบันก่อนการเซ็น สัญญา ทั้งนี้บริษัทมีความระมัดระวังพอควรต่อระดับอัตรากำไรขั้นต้นในแต่ละโครงการ ซึ่งยังคงต้องติดตามผลกระทบในระยะถัดไป
โดยยังคงประมาณการอัตรากำไรขั้นต้นของปี 65 ไว้ที่ระดับ 7-10% ขณะที่ประเด็นการขาดแคลนแรงงาน ทางบริษัทไม่ กังวล มองว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย มีการเปิดประเทศ ทำให้สามารถนำเข้าแรงงานจากต่างประเทศ เช่น จากประเทศลาวเข้ามาทำงาน รองรับปริมาณงานใหม่ที่เพิ่มขึ้นได้
นักวิเคราะหลักทรัพย์ บล.โนมูระฯ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คงคำแนะนำ ซื้อ เนื่องจาก CK มีศักยภาพในการได้งานรัฐเด่น สุดในกลุ่ม เหมาะแก่การเข้าซื้อเก็งกำไรสำหรับงานรถไฟฟ้าสายสีส้มที่จะเปิดประมูลในเร็วๆนี้ และยังได้รับผลกระทบด้านต้นทุนน้อยกว่า เนื่องจากโครงสร้างต้นทุน กว่า 70% เป็นการจ้าง Subcontractor ซึ่งสามารถต่อรองราคาได้ รวมถึงมีการพึ่งพิงงานใหม่มากกว่า โดยราคากลางจะ สะท้อนต้นทุนในปัจจุบัน ส่วนความคืบหน้าของโครงการเขื่อนหลวงพระบาง มูลค่าคาดการณ์ 8.5 หมื่นล้านบาท จะเป็น key growth drive สำคัญ ในการเติบโตระยะยาว
อย่างไรก็ดีเบื้องต้นคาด CK จะได้ส่วนแบ่งงานรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกราว 3.8 หมื่นล้านบาท จากมูลค่าก่อสร้างรวม 1.27 แสนล้านบาท โดยอิง assumption market share ที่ราว 30% (เพราะคาดว่าต้องแบ่งงานบางส่วนให้ subcontractor) ซึ่ง การเข้ามาของรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกนั้นได้รวมไว้ในประมาณการแล้ว คาดจะมี contribution ราว 3.4 พันล้านบาทหรือ 14% ของ รายได้ในปี 66
ด้านแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/65 คาดฟื้นตัวทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า หนุนจากการเริ่ม รับรู้รายได้งานรถไฟทางคู่เด่นชัยเชียงรายเชียงของ หนุนรายได้ ก่อสร้าง เงินปันผลรับจาก TTW 232 ล้านบาท รวมถึงส่วนแบ่งกำไรฯ ฟื้นตัว ทั้ง BEM จากยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เริ่มลดลง และ CKP ที่ได้อานิสงส์ปริมาณน้ำเริ่มเข้า High season
คงมุมมองกำไรปกติปี 65 โต เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยฟื้นตัวเด่นในครึ่งปีหลังนี้จากหลายๆโครงการผ่านพ้นช่วง เริ่มแรกของ โครงการ ส่วนแบ่งกำไรฯ ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะ CKP ที่ปริมาณน้ำจะสูงสุดในไตรมาส 3/65
https://youtu.be/YDHYrvOEoiw