แม้ว่าปีนี้ผลงานอาจจะต่ำลงเมื่อเทียบกับปี 64 ตามสถานการณ์ภาพรวมตลาดหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังยืดเยื้อ ซึ่งทำให้ปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะในส่วนของรายย่อยที่เป็นสัดส่วนหลักของธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัท
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าจะมีรายได้จากส่วนงานอื่นๆ เข้าเพิ่มเติม อาทิ การเป็นตัวแทนขายหน่วยลงทุน และ ธุรกิจด้านวาณิชธนกิจ ซึ่งขณะนี้บริษัทมีงานที่ปรึกษาระดมทุนและนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีเป้าหมายนำบริษัทเข้าจดทะเบียนฯไม่ต่ำกว่า 6 บริษัทในช่วงปี 65-66 คาดว่าจะมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นธุรกิจในกลุ่ม IT , เทรดดิ้ง, บริการ และแพคเกจจิ้ง
ด้านนายภาดล วรรณรัตน์ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน และ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะผ่านจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 3/65 หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลข GDP ในวันพฤหัสบดีนี้ (28 ก.ค.) รวมถึงผ่านการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 26-27 ก.ค.ไปแล้ว ในขณะเดียวกันคาดว่าเงินเฟ้อของหลายๆประเทศก็ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว หลังจากที่ราคาน้ำมันเริ่มปรับลดลง จึงแนะนำให้เริ่มเข้าสะสมหุ้นในเดือน ส.ค.นี้ และกลับมาปรับพอร์ตการลงทุนเพิ่มสัดส่วนในหุ้นเป็น 70% จากช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาให้ลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นเหลือ 40% โดยแนะนำ กลุ่มธนาคาร ค้าปลีก และกลุ่มที่เคยเสียประโยชน์จากการราคาน้ำมันพุ่งสูงในช่วงที่ผ่านมา
บล.หยวนต้าฯ โดยยังคงเป้าหมายดัชนี SET ปี 65 ที่ 1,650 จุด พร้อมให้แนวรับที่ 1,550 จุด หากยืนไม่อยู่จะมีแนวรับถัดไปที่ 1,450 จุด มองว่าเป็นจุดต่ำสุดที่จะลงไปได้ในระยะนี้