PTT เผยกำไรสุทธิ H1/65 โต 12.7% ตาม EBITDA รับค่าการกลั่น-กำไรสต็อกน้ำมัน

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 11, 2022 18:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. (PTT) เปิดเผยว่า ในครึ่งปีแรก ปตท. และบริษัทในกลุ่มทั้งในและต่างประเทศมีกำไรสุทธิจำนวน 64,419 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,253 ล้านบาท หรือ 12.7% จากครึ่งแรกปี 2564 ที่จำนวน 57,166 ล้านบาท ตาม EBITDA ที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่มีขาดทุนจากอตัราแลกเปลี่ยนและขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้น รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้มีการรับรู้กำไรจากรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำสุทธิภาษีตามสัดส่วนของ ปตท. ลดลง โดยหลักจากใน H1/65 มีการรับรู้ส่วนลดจากปริมาณที่ผู้ผลิตส่งได้ไม่ถึงปริมาณตามสัญญา (Shortfall) ประมาณ 1,600 ล้านบาท ของ ปตท. ขณะที่ ใน H1/64 มีการรับรู้กำไรจากการซื้อธุรกิจในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมของโครงการโอมาน แปลง 61 ประมาณ 7,000 ล้านบาทสุทธิกับการตัดจำหน่ายสินทรัพย์บางส่วนในโครงการสำรวจปิโตรเลียมในประเทศบราซิลประมาณ 2,900 ล้านบาทของ บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิ โตรเลียม (PTTEP) และการรบัรู้ขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุนการร่วมค้าของ GC ประมาณ 1,500 ล้านบาท

ในช่วงครึ่งแรกของปี2565 ปตท. และบริษัทย่อยมี EBITDA จำนวน 325,469 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 109,306 ล้านบาท หรือ 50.6% จาก ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ที่จำนวน 216,163 ล้านบาท

โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นที่เพิ่มขึ้นซึ่งธุรกิจการกลั่นมีผลการดำเนินงานดีขึ้นจาก Market GRM ที่เพิ่มขึ้นโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างประเทศรัสเซียและประเทศยูเครน รวมถึงมีปริมาณขายและกำไรสต๊อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้กำไรสต็อกน้ำมันของกลุ่ม ปตท. เพิ่มขึ้นประมาณ 19,000 ล้านบาท ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นในอัตราที่มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในขณะที่ผลการดำเนินงานของธุรกิจปิโตรเคมีปรับตัวลดลงทั้งจากผลการดำเนินงานของกลุ่มโอเลฟินส์ และกลุ่มอะโรเมติกส์ เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าราคาวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น รวมทั้งปริมาณขายที่ลดลงจากการปิดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงปิโตรเคมีใน H1/65

ขณะที่กลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมและธุรกิจถ่านหินมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นตามราคาขายเฉลี่ย และปริมาณขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีกและกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19

อย่างไรก็ดี กลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐานมีผลการดำเนินงานลดลงโดยหลักจากธุรกิจไฟฟ้ ที่ต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติและถ่านหินปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากรวมทั้งกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานที่ปรับตัวลดลงจากกำไรขั้นต้นของธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายก๊าซฯ ซึ่งมีต้นทุนค่าเนื้อก๊าซฯ ที่เพิ่มขึ้นมากตามราคา LNG ในตลาดโลก แม้ว่าธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ มีก ไรเพิ่มขึ้น จากราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นทุกผลิตภัณฑ์ตามราคาปิโตรเคมีในตลาดโลกที่ใช้อ้างอิง

ทั้งนี้ ในปี 65 ปตท. ยังมีแผนลงทุนจำนวน 91,000 ล้านบาท เพื่อรักษาความมั่นคงด้านพลังงานให้แก่ประเทศและเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ผ่านการลงทุนในธุรกิจ LNG ธุรกิจก๊าซฯและท่อส่งก๊าซฯ รวมทั้งการลงทุนในธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าตลอดห่วงโซ่คุณค่า การลงทุนในธุรกิจด้านวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต (Life science : ธุรกิจยา ธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ ธุรกิจอุปกรณ์การแพทย์และการวินิจฉัยทางการแพทย์) ซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้สามารถเข้าถึงยาสามัญได้มากขึ้น การลงทุนในธุรกิจดังกล่าวข้างต้น นอกจากจะสร้างการเติบโตทางธุรกิจในกลุ่ม ปตท. แล้ว ยังสนับสนุนให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจของประเทศ ตลอดจนสร้างงานและเพิ่มรายได้ภาคครัวเรือนในประเทศอย่างยั่งยืน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ